แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เหตุผลประการหนึ่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นรอการลงโทษให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และคุมความประพฤติไว้เพราะเห็นว่าทรัพย์ที่ถูกลักไปคือไก่ชนราคาไม่สูงนัก หลังเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายได้รับทรัพย์ที่ถูกลักไปกลับคืนมา จึงยังไม่สมควรลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 นั้น เป็นการใช้ดุลพินิจเกี่ยวกับสภาพการกระทำความผิดว่าไม่ร้ายแรงนัก อันเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี เมื่อจำเลยทั้งสามร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ แต่จำเลยที่ 3 มิได้อุทธรณ์ ก็เป็นเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 3 ให้รอการลงโทษและคุมความประพฤติจำเลยที่ 3 ดุจจำเลยที่ 1 ที่ 2 ผู้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335,336 ทวิ, 357, 83 คืนไก่ชนของกลางแก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยทั้งสามต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3853/2539, 2854/2539 และ 2856/2539 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ และรับว่าเป็นจำเลยเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำของศาลชั้นต้นที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7)(8) วรรคสาม, 336 ทวิ ขณะกระทำผิดจำเลยที่ 1 อายุ 17 ปีเศษจำเลยที่ 2 อายุ 15 ปี จำเลยที่ 3 อายุ 16 ปี เห็นควรลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75, 76 จำคุกจำเลยทั้งสามมีกำหนดคนละ 4 ปีจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสามมีกำหนดคนละ2 ปี ให้คืนไก่ชนของกลางแก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตามลำดับในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3753/2539 หมายเลขแดงที่ 3791/2539 หมายเลขดำที่ 3854/2539 หมายเลขแดงที่ 3792/2539 ของศาลชั้นต้นเนื่องจากศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3856/2539 ของศาลชั้นต้น จึงนับโทษต่อจากโทษในคดีดังกล่าวไม่ได้ให้ยกคำขอ
จำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 คนละ 3,000บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้คนละ 3 ปี ให้จำเลยที่ 1ที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง เป็นเวลา 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นลดโทษให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และคุมความประพฤติไว้โดยอาศัยเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี แต่มิได้พิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3ด้วย คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 นั้น ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย จำเลยที่ 3 ยกขึ้นฎีกาได้ เห็นว่า เหตุผลประการหนึ่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นรอการลงโทษให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และคุมความประพฤติไว้ เพราะเห็นว่าทรัพย์ที่ถูกลักไปคือไก่ชนราคาไม่สูงนัก หลังเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายได้รับทรัพย์ที่ถูกลักไปกลับคืนมา จึงยังไม่สมควรลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1ที่ 2 นั้น เป็นการใช้ดุลพินิจเกี่ยวกับสภาพการกระทำความผิดว่าไม่ร้ายแรงนัก อันเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี เมื่อจำเลยทั้งสามร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2อุทธรณ์ แต่จำเลยที่ 3 มิได้อุทธรณ์ ก็เป็นเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 3 ให้รอการลงโทษและคุมความประพฤติจำเลยที่ 3 ดุจจำเลยที่ 1 ที่ 2ผู้อุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่พิพากษารอการลงโทษให้จำเลยที่ 3 และคุมความประพฤติจำเลยที่ 3 ดุจจำเลยที่ 1 ที่ 2 ด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 3 อายุยังไม่เกินสิบเจ็ดปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 แล้ว ให้ลงโทษปรับ 6,000 บาท จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงปรับ 1,000 บาท อีกสถานหนึ่งไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี ให้จำเลยที่ 3 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง เป็นเวลา 2 ปีด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3