คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) ข้อเท็จจริงจะต้องได้ความว่า ก่อนทำการฆ่าผู้กระทำผิดได้คิดวางแผนและไตร่ตรองทบทวนแล้วจึงตกลงใจกระทำผิดไม่ใช่กระทำไปโดยปัจจุบันทันด่วน และการไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นเหตุเกี่ยวกับเจตนาส่วนตัวของผู้กระทำผิดซึ่งต้องดูการกระทำเป็นสำคัญเพราะกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าสาเหตุที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ก็เนื่องจากจำเลยต้องการให้ น. กลับไปอยู่กินกับจำเลยอีก เพราะก่อนหน้านี้จำเลยและบุตรกับ น. ก็ยังไปมาหาสู่กันอยู่แต่ น. ปฏิเสธ ต่อมาหลังจากจำเลยพูดคุยกับผู้ตายนาน 3 ถึง 4 นาที ผู้ตายไล่ให้จำเลยออกไปจากบ้านที่เกิดเหตุ มิฉะนั้นจะเรียกเจ้าพนักงานตำรวจมาจัดการ คำพูดดังกล่าวของผู้ตายในลักษณะไล่จำเลยให้ออกไปจากบ้านนั้นย่อมเป็นสาเหตุที่ทำให้จำเลยโกรธ ซึ่งเกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วนและใช้อาวุธปืนพกยิงผู้ตาย 1 นัด ซึ่งหากจำเลยได้คิดวางแผนไตร่ตรองทบทวนมาก่อนว่าจะไปยิงผู้ตาย เมื่อไปถึงบ้านที่เกิดเหตุและพบผู้ตายก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดคุยกับ น. เพื่อชักชวนให้ น. กลับไปอยู่กินกับจำเลยอีก และไม่จำเป็นที่จะต้องซักถามผู้ตายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตายกับ น. น่าจะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทันทีแต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 8 ทวิ, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 289, 371 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาพาอาวุธปืน ส่วนข้อหาอื่นจำเลยให้การว่ากระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 74 ทวิ (ที่ถูก มาตรา 72 ทวิ) วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลงโทษประหารชีวิต ฐานพาอาวุธปืน เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเท่าโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกตลอดชีวิต ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 4 เดือน เมื่อลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วไม่อาจนำโทษจำคุกไปรวมได้อีก จึงให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 10 ปี เมื่อรวมกับโทษจำคุกในความผิดฐานพาอาวุธปืนเป็นจำคุก 10 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังที่กล่าวในฟ้อง จำเลยพาอาวุธปืนพกมีเครื่องหมายทะเบียนของจำเลยเองไปในที่เกิดเหตุ และจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายอุเทน ผู้ตาย 1 นัด ผู้ตายถึงแก่ความตาย สำหรับความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต โจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้แล้วว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น เห็นว่า การฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ข้อเท็จจริงจะต้องได้ความว่า ก่อนทำการฆ่าผู้กระทำผิดได้คิดวางแผนและไตร่ตรองทบทวนแล้วจึงตกลงใจกระทำความผิดไม่ใช่กระทำไปโดยปัจจุบันทันด่วน และการไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นเหตุเกี่ยวกับเจตนาส่วนตัวของผู้กระทำผิดซึ่งต้องดูการกระทำเป็นสำคัญเพราะกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา แต่ทางนำสืบของโจทก์ โจทก์มีนางนิภา เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า พยานเคยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย มีบุตรด้วยกัน 1 คน แต่ต่อมาได้จดทะเบียนหย่ากับจำเลยแล้วตามสำเนาใบสำคัญการหย่าเอกสารหมาย จ.5 ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยไปที่บ้านผู้ตายซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุถามหาพยาน ผู้ตายเรียกพยานให้ออกไปพบจำเลย พยานออกไปพูดคุยกับจำเลยที่นอกบ้าน จำเลยขอน้ำดื่มผู้ตายเข้าไปในบ้านแล้วนำน้ำดื่มไปให้จำเลย ส่วนพยานเข้าไปในบ้าน จำเลยพูดคุยกับผู้ตาย จากนั้นพยานได้ยินเสียงจำเลยทะเลาะกับผู้ตาย จับใจความได้ว่า จำเลยถามผู้ตายว่า ผู้ตายรักพยานจริงหรือไม่ ผู้ตายตอบว่ารักจริง โดยจะพาพยานไปจดทะเบียนสมรสในเดือนตุลาคม และถกเถียงกันอีกแต่จับใจความไม่ได้นาน 3 ถึง 4 นาที พยานได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด และได้ยินเสียงผู้ตายร้องโอ๊ย พยานวิ่งไปดู และพยานตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ก่อนที่จำเลยจะทะเลาะกับผู้ตาย จำเลยพูดขอให้พยานกลับไปอยู่กับจำเลยและบุตร แต่พยานปฏิเสธเนื่องจากหย่าขาดจากกันแล้ว พยานขออยู่กับผู้ตายและขณะที่จำเลยโต้เถียงกับผู้ตาย ได้ยินผู้ตายบอกให้จำเลยออกไปจากบ้านมิฉะนั้นจะเรียกเจ้าพนักงานตำรวจมาจัดการ พยานอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ตายมานานปีเศษระหว่างนั้นจำเลยไม่เคยทราบมาก่อนว่าพยานไปอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ตาย หลังจากหย่ากันแล้วจำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูบุตร จำเลยกับบุตรไปเยี่ยมพยานที่บ้านมารดาของพยานเป็นบางครั้ง บางครั้งพยานก็ไปเยี่ยมบุตรที่บ้านจำเลย ยังคงไปมาหาสู่กันอยู่ จำเลยเพิ่งไปหาพยานที่บ้านที่เกิดเหตุเป็นครั้งแรก ส่วนพันตำรวจตรีสีหนาท ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนเบิกความว่า พยานเป็นผู้สอบปากคำนางนิภาและจำเลย โดยนางนิภาให้การไว้ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ปจ.1 ว่า เมื่อจำเลยไปที่บ้านผู้ตายนางนิภาถามจำเลยว่า “มาทำไม” จำเลยตอบว่า “มาดูว่าอยู่ที่นี้เหรอ” จำเลยถามว่า “อยู่กินกับอุเทนแล้วหรือ” นางนิภาตอบว่า “อยู่กันแล้ว” จำเลยหันไปถามผู้ตายว่า “รักมันจริงเหรอ” ผู้ตายตอบว่า “รัก รักจริงแน่นอน” จำเลยถาทว่า “จะจดทะเบียนหรือยัง” ผู้ตายตอบว่า “เนี่ยะว่าจะจดเหมือนกัน” จากนั้นจำเลยหยุดพูดไปสักพัก แล้วพูดขอน้ำดื่ม เมื่อผู้ตายนำน้ำดื่มไปให้จำเลย จำเลยถือแก้วน้ำไปที่หน้าบ้าน ผู้ตายเดินไปที่หน้าบ้านเช่นกัน ห่างจำเลยประมาณ 2 เมตร จำเลยใช้อาวุธปืนพกยิงผู้ตาย 1 นัด ผู้ตายล้มลงนางนิภาวิ่งไปหาผู้ตาย จำเลยเล็งอาวุธปืนไปที่นางนิภาและยิง 1 นัดแต่กระสุนปืนไม่ถูกนางนิภา จำเลยยังเล็งอาวุธปืนไปที่นางนิภา นางนิภาเข้าไปแย่งอาวุธปืนกับจำเลย ปืนลั่นขึ้นอีก 1 นัด แต่ไม่ถูกผู้ใด นางนิภาแย่งอาวุธปืนไปได้แล้ววิ่งไปที่ถนนหน้าบ้านทิ้งอาวุธปืนพกออกไปที่นอกถนน จำเลยวิ่งไล่ตามไปชกต่อยนางนิภาจนกระทั่งมีเจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปช่วยเหลือ ส่วนจำเลยให้การไว้ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ปจ.4 ว่า จำเลยไปที่บ้านที่เกิดเหตุเพื่อไปถามนางนิภาว่าจะกลับไปอยู่กินกับจำเลยอีกหรือไม่ เนื่องจากหลายวันก่อนนางนิภาไปที่บ้านบิดาของจำเลยและนางนิภารับปากกับจำเลยว่าจะกลับไปอยู่กินกับจำเลยอีก แต่นางนิภาพูดว่า “เลิกแล้วก็เลิกกันไป ไม่ต้องมาอยู่ด้วยกันอีก” และนางนิภากับผู้ตายไล่จำเลยให้ออกไปจากบ้านที่เกิดเหตุ จำเลยโกรธระงับอารมณ์ไม่อยู่จึงชักอาวุธปืนจากเอวยิงผู้ตาย 1 นัด นางนิภาเข้ามาแย่งอาวุธปืนจากมือจำเลย ปืนลั่นขึ้นอีก 2 นัด นางนิภาแย่งอาวุธปืนไปได้แล้วนำไปขว้างทิ้ง เห็นว่า ตามบันทึกคำให้การของนางนิภาและของจำเลยดังกล่าวซึ่งเป็นพยานแวดล้อมกรณีได้กระทำเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2542 วันเดียวกันกับวันที่เกิดเหตุนั้นเอง เชื่อได้ว่าต่างคนต่างให้การด้วยความเป็นจริงเนื่องจากยังไม่มีเวลาคิดบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เห็นเป็นอย่างอื่น โดยมีสาระสำคัญสอดคล้องกับคำเบิกความของนางนิภาในชั้นศาล เมื่อนำมาประกอบกับคำเบิกความของนางนิภาแล้ว ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าสาเหตุที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ก็เนื่องจากจำเลยต้องการให้นางนิภากลับไปอยู่กินกับจำเลยอีก เพราะก่อนหน้านี้จำเลยและบุตรกับนางนิภาก็ยังไปมาหาสู่กันอยู่แต่นางนิภาปฏิเสธ ต่อมาหลังจากจำเลยพูดคุยกับผู้ตายแล้วนาน 3 ถึง 4 นาที ผู้ตายพูดไล่ให้จำเลยออกไปจากบ้านที่เกิดเหตุ มิฉะนั้นจะเรียกเจ้าพนักงานตำรวจมาจัดการคำพูดดังกล่าวของผู้ตายในลักษณะไล่จำเลยให้ออกไปจากบ้านนั้นย่อมเป็นสาเหตุที่ทำให้จำเลยโกรธ ซึ่งเกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วน และใช้อาวุธปืนพกยิงผู้ตาย 1 นัด ซึ่งหากจำเลยได้คิดวางแผนไตร่ตรองทบทวนมาก่อนว่าจะไปยิงผู้ตาย เมื่อไปถึงบ้านที่เกิดเหตุและพบผู้ตาย ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดคุยกับนางนิภาเพื่อชักชวนให้นางนิภากลับไปอยู่กินกับจำเลยอีก และไม่จำเป็นที่จะต้องซักถามผู้ตายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตายกับนางนิภา น่าจะใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้ตายทันที แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ลำพังแต่เพียงเหตุผลที่ว่าจำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไปด้วยจะสรุปว่าจำเลยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้นหาได้ไม่ เพราะนางนิภาเองก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า นางนิภาเคยเห็นจำเลยมีอาวุธปืนพกสั้นตั้งแต่เป็นภริยาของจำเลยแล้ว จำเลยมีอาชีพเป็นพนักงานการประปาส่วนภูมิภาค สาขาแม่ริม มีหน้าที่เก็บเงินค่าน้ำประปาจากผู้ใช้บริการ การพาอาวุธปืนติดตัวจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการป้องกันตัวและทรัพย์สิน โดยเฉพาะเงินค่าน้ำประปาซึ่งมิใช่เงินส่วนตัวของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง สำหรับความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพตลอดมาตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาล นับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา แต่ศาลชั้นต้นลดโทษให้เพียงหนึ่งในสาม ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรลดให้กึ่งหนึ่ง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานพาอาวุธปืน ฯ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 3 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานฆ่าผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 เป็นจำคุก 10 ปี 3 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

Share