คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หนี้เงินนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224บัญญัติให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้นตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่ทำกันไว้ จำเลยยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์สำหรับเงินที่เบิกเกินบัญชีร้อยละสิบห้าครึ่งต่อปีส่วนจำนวนเงินที่เบิกเกินวงเงินตามสัญญาจำเลยยอมเสียร้อยละสิบเก้าต่อปี เช่นนี้เมื่อมีการเลิกสัญญาโจทก์จึงมีเหตุตามสัญญาที่จะเรียกดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าครึ่งต่อปีต่อไปได้โดยชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ เดิมชื่อธนาคารเอเชียทรัสท์ จำกัดโจทก์มอบอำนาจให้นางลินจง สุอัคคะพงศ์ ฟ้องคดีแทน เมื่อวันที่3 มีนาคม 2525 จำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารโจทก์สาขาบ้านโป่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2525ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์ จำนวนเงินไม่เกิน280,000 บาท มีกำหนดเวลา 12 เดือน โดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าครึ่งต่อปี ส่วนที่เบิกเกินวงเงินยอมเสียอัตราร้อยละสิบเก้าต่อปี ยอมให้คิดดอกเบี้ยเป็นรายวันและนำผลดอกเบี้ยนั้นเข้าหักบัญชีเป็นรายเดือนกับยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามประเพณีของธนาคาร เพื่อเป็นหลักประกัน จำเลยมอบใบรับฝากประจำเลขที่ 1065 จำนวนเงิน 280,000 บาท โดยตกลงให้โจทก์หักเงินฝากนั้นโอนชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีได้ จำเลยนำเงินเข้าฝากและถอนเงินจากบัญชีหลายคราว วันที่ 4 กันยายน 2527จำเลยโอนเงินฝากประจำเพื่อลดยอดหนี้เป็นเงินจำนวน290,330.28 บาท ปรากฏว่าในวันนั้น จำเลยเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีอยู่อีก 243,041.43 บาท หลังจากนั้น จำเลยมิได้นำเงินเข้าฝากและสั่งถอนเงินอีก คงมีแต่ยอดดอกเบี้ยทบต้นตามประเพณีของธนาคาร ถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2529 ซึ่งเป็นวันบอกเลิกสัญญาหักทอนบัญชี จำเลยเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีอยู่ทั้งสิ้น 339,398.08บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2529 ถึงวันฟ้องเป็นจำนวน 16,718.84 บาท และดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวของต้นเงินนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคล เดิมจะชื่อธนาคารเอเชียทรัสท์ จำกัด จะมอบอำนาจให้นางลินจง สุอัคคะพงศ์ฟ้องคดีแทน และนายวุฒิชัย ปุณณลิมปกุล จะมีอำนาจทวงถามหนี้จากจำเลยแทนโจทก์หรือไม่จำเลยไม่รับรอง ครบกำหนดสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้วโจทก์ยอมให้จำเลยกู้เงินต่อ โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่มีการทวงถาม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามสัญญาไม่มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในกรณีลูกหนี้ผิดนัด ผิดสัญญาหรือบอกเลิกสัญญาไว้โดยแจ้งชัด นับแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2529 โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เพียงร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ยอดเงินตามฟ้องไม่มีรายละเอียดการคำนวณให้แจ้งชัดพอที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ฟ้องโจทก์ส่วนนี้จึงเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน339,398.08 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ4,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างวินิจฉัยมาโดยจำเลยมิได้โต้แย้งรับฟังยุติได้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์เดิมชื่อธนาคารเอเชียทรัสท์ จำกัด และได้มอบอำนาจให้นางลินจง สุอัคคะพงศ์ ฟ้องคดีแทน เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2525จำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารโจทก์สาขาบ้านโป่ง บัญชีเลขที่ 840 ตามเอกสารหมาย จ.3 วันที่ 31มีนาคม 2525 จำเลยได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 280,000 บาท มีกำหนด 12 เดือนและยอมให้โจทก์หักเงินฝากประจำจำนวน 280,000 บาทเพื่อโอนชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีได้ ตามสัญญาและหนังสือยินยอมเอกสารหมาย จ.4, จ.5 โจทก์โอนเงินฝากประจำของจำเลยหักลดยอดหนี้เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2527 แล้วปรากฏว่าจำเลยยังเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์อีกเป็นเงิน 243,041.43 บาท จากนั้นจำเลยไม่เคยนำเงินเข้าหักทอนบัญชี สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยเลิกกันเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2529 ซึ่งจำเลยคงเป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้น 339,398.08 บาท คงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแต่เพียงว่า หลังจากเลิกสัญญากันแล้วโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยร้อยละสิบห้าครึ่งต่อปีได้อีกต่อไปหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในเรื่องดอกเบี้ยจำเลยมิได้ต่อสู้ว่าอัตราที่กำหนดไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและที่โจทก์เรียกร้องให้ชำระต่อมาภายหลังจากมีการเลิกสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมายคงต่อสู้แต่เพียงว่าสัญญาไม่มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในกรณีลูกหนี้ผิดนัด ผิดสัญญาหรือบอกเลิกสัญญาไว้โดยแจ้งชัด นับแต่วันที่ 26พฤษภาคม 2529 โจทก์จึงคิดดอกเบี้ยได้เพียงร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 เท่านั้น แต่หนี้เงินนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก บัญญัติว่าให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น โจทก์มีนางลินจง สุอัคคะพงศ์ ผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาบ้านโป่งเป็นพยานเบิกความประกอบสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตามเอกสารหมายจ.4 ว่า ตามสัญญาที่ทำกันไว้ จำเลยตกลงยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์สำหรับเงินที่เบิกเกินบัญชีร้อยละสิบห้าครึ่งต่อปี ส่วนจำนวนเงินที่เบิกเกินวงเงินตามสัญญา จำเลยยอมเสียร้อยละสิบเก้าต่อปี เช่นนี้เมื่อมีการเลิกสัญญาโจทก์จึงมีเหตุตามสัญญาที่จะเรียกดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าครึ่งต่อปีต่อไปได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวนั้น และตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1808/2512 ระหว่างธนาคารนครหลวงไทย จำกัด โจทก์บริษัทอเมอร์ไทย (1955) จำกัด กับพวก จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่สืบแสดงให้ความปรากฏชัดว่าเมื่อโจทก์หักทอนบัญชีและเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดกับจำเลยแล้วโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้เกินไปจากอัตราปกติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้อย่างไร โจทก์คงมีสิทธิเรียกเพียงดอกเบี้ยธรรมดา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 เท่านั้น และพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 27 พฤษภาคม2529 จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share