แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร เป็นการฟ้องให้ศาลเลือกลงโทษจำเลยในข้อหาใดข้อหาหนึ่งตามที่พิจารณาได้ความ ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยพร้อมกันทั้งสองข้อหาได้ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาได้ความว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว เพียงแต่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนศาลอุทธรณ์ เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจร ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานรับของโจรได้ตามที่โจทก์บรรยายข้อเท็จจริงดังกล่าวมาในฟ้องแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91, 92, 335, 336 ทวิ, 357 เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสาม บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 947/2558 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ และนับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1856/2559 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ บวกโทษ และนับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) (8) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 จำคุก 2 ปี เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 2 ปี 8 เดือน บวกโทษจำคุก 4 เดือน ที่รอไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 947/2558 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ เป็นจำคุก 2 ปี 12 เดือน ให้นับโทษคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1856/2559 หมายเลขแดงที่ 1777/2559 ของศาลชั้นต้น ยกฟ้องข้อหาร่วมกันรับของโจร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้เถียงกันรับฟังยุติว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 ตอนเช้า นางราตรี ผู้เสียหายกับเรืออากาศโทรัตนพี สามีผู้เสียหาย ออกจากบ้านเลขที่ 15 ไปทำงาน วันเดียวกันเวลาประมาณ 13 นาฬิกา ผู้เสียหายกลับบ้านพบว่า กลอนประตูหลังบ้านถูกปลด จึงตรวจดูทรัพย์สินภายในบ้าน พบว่าโทรทัศน์สี่ยี่ห้อซัมซุง แอลซีดี ของผู้เสียหายหายไป 4 เครื่อง จึงแจ้งนายสุรศักดิ์ น้องชายกับเรืออากาศโทรัตนพีสามีทราบ นายสุรศักดิ์กับเรืออากาศโทรัตนพีเดินสำรวจรอบบ้านแล้วพบกล่องโทรทัศน์สีของผู้เสียหาย 4 กล่อง อยู่ที่ป่าละเมาะหลังบ้าน กล่องถูกแกะเอาโทรทัศน์ไปแล้ว 2 เครื่อง เหลืออีก 2 กล่องยังไม่ถูกแกะ เรืออากาศโทรัตนพีเห็นว่าคนร้ายอาจย้อนกลับมาเอาโทรทัศน์ที่เหลือจึงซุ่มดูอยู่ เวลาประมาณ 21 นาฬิกา มีนายสมคิด เดินมาที่กล่องโทรทัศน์ของผู้เสียหายที่วางอยู่ที่ป่าละเมาะ นายสุรศักดิ์เข้าล็อกคอจับนายสมคิดไว้ได้ ส่วนคนร้ายอีกคนหนึ่งที่จอดรถจักรยานยนต์รออยู่ที่ถนนขับรถจักยานยนต์หลบหนี นายสมคิดให้การรับสารภาพข้อหารับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นคนร้ายร่วมลักโทรทัศน์ของผู้เสียหายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ทางพิจารณาโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะนายสมคิดและจำเลยเป็นคนร้ายลักโทรทัศน์ของผู้เสียหายนำออกมาจากบ้านของผู้เสียหายมาซ่อนไว้ที่ป่าละเมาะ ประกอบกับได้ความว่านายสมคิดที่ถูกจับได้ในคืนหลังเกิดเหตุลักทรัพย์แล้วเกือบครึ่งวันให้การรับสารภาพข้อหารับของโจร และศาลพิพากษาลงโทษนายสมคิดฐานรับของโจร พยานหลักฐานของโจทก์จึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยร่วมกับนายสมคิดลักโทรทัศน์ของผู้เสียหายตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยร่วมกับนายสมคิดกระทำผิดฐานรับของโจรหรือไม่ โจทก์มีเรืออากาศโทรัตนพี นายสุรศักดิ์และร้อยตำรวจเอกรุ่งวิทย์ เป็นพยานเบิกความตรงกันว่า ขณะจับนายสมคิด นายสมคิดร้องว่า แมน ๆ ช่วยกูด้วย ซึ่งชื่อ แมน นี้ตรงกับชื่อเล่นของจำเลย แม้โจทก์จะมีเพียงเรืออากาศโทรัตนพีเพียงปากเดียวที่เบิกความว่า วิ่งไปดูเห็นจำเลยเป็นคนร้ายที่นั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ห่างออกไปประมาณ 30 เมตร แล้วจำเลยขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป เรืออากาศโทรัตนพีจดจำจำเลยได้เพราะถนนที่จำเลยจอดรถจักรยานยนต์มีแสงไฟตามจุดที่เรืออากาศโทรัตนพีทำเครื่องหมายดอกจันในแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ กับเรืออากาศโทรัตนพีรู้จักจำเลยมาก่อน เพราะเรืออากาศโทรัตนพีเป็นครูดูแลผู้รับการบำบัดยาเสพติดที่กองบิน 21 และจำเลยเคยมารับการบำบัดยาเสพติดกับเรืออากาศโทรัตนพี ซึ่งจำเลยก็เบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับในข้อนี้ โดยจำเลยเข้ารับการบำบัดและฟื้นฟูเป็นเวลา 4 เดือน พันตำรวจตรีโสภณ พนักงานสอบสวนก็เบิกความว่า วันเกิดเหตุเรืออากาศโทรัตนพีแจ้งต่อพันตำรวจตรีโสภณว่า นายแมนขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป ในชั้นสอบสวนเรืออากาศโทรัตนพีก็ยืนยันภาพถ่ายของจำเลย และให้การระบุชื่อและชื่อสกุลของจำเลยว่าจำเลยเดินทางมากับนายสมคิด ไม่ปรากฏว่าเรืออากาศโทรัตนพีมีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะเบิกความใส่ร้ายปรักปรำจำเลย ประกอบกับจำเลยและนายสมคิดพยานจำเลยเบิกความว่า วันเกิดเหตุตอนเย็น นายสมคิดจ้างจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปส่งจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปส่งนายสมคิดที่สนามฟุตซอลใกล้ที่เกิดเหตุ ก็เจือสมคำเบิกความของเรืออากาศโทรัตนพีพยานโจทก์ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งนายสมคิด ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปส่งนายสมคิดเพื่อเอาโทรทัศน์ของผู้เสียหายที่ซุกซ่อนไปในป่าละเมาะ และจอดรถจักรยานยนต์รออยู่ มิใช่ไปส่งแล้วขับรถจักรยานยนต์กลับทันที เพราะเมื่อนายสมคิดถูกจับและร้องให้จำเลยช่วย เรืออากาศโทรัตนพียังเห็นจำเลยนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์รออยู่ แล้วจำเลยจึงขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป หากจำเลยมีเจตนาบริสุทธิ์รับจ้างขับรถไปส่งนายสมคิดตามปกติ มิได้มีเจตนาไปกระทำความผิด จำเลยก็น่าจะแสดงตนหรือลงไปช่วยเหลือนายสมคิด มิใช่ขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปเมื่อนายสมคิดร้องให้ช่วย และในชั้นสอบสวนเมื่อพนักงานสอบสวนถามจำเลยว่าทราบมาก่อนหรือไม่ว่านายสมคิดได้ลักโทรทัศน์ผู้เสียหายไป จำเลยให้การว่า จำเลยเห็นนายสมคิดนำโทรทัศน์ 2 เครื่อง ไปไว้บ้านร้าง ซึ่งเป็นบ้านพักครูในซอยบ้านนาควาย ซึ่งก็สอดคล้องกับทางนำสืบของโจทก์ว่า คนร้ายลักโทรทัศน์ของผู้เสียหายไป 4 เครื่อง ผู้เสียหายพบกล่องโทรทัศน์ของผู้เสียหาย 4 กล่อง ซุกซ่อนในป่าละเมาะหลังบ้าน กล่องโทรทัศน์ 2 กล่องถูกแกะเอาโทรทัศน์ออกไปแล้ว ส่วนอีก 2 กล่อง ยังไม่ถูกแกะ พฤติการณ์บ่งชี้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยมีเจตนาร่วมกับนายสมคิดไปเอาโทรทัศน์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปซุกซ่อนไว้ในป่าละเมาะ จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับนายสมคิดกระทำความผิดฐานรับของโจร พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร เป็นการฟ้องให้ศาลเลือกลงโทษจำเลยในข้อหาใดข้อหาหนึ่งตามที่พิจารณาได้ความ ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยพร้อมกันทั้งสองข้อหาได้ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาได้ความว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว เพียงแต่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนศาลอุทธรณ์เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ดังนั้น แม้โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจร ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานรับของโจรได้ตามที่โจทก์บรรยายข้อเท็จจริงดังกล่าวมาในฟ้องแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง จำคุก 1 ปี เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 16 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 เดือน บวกโทษจำคุก 4 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 947/2558 ของศาลชั้นต้น เป็นจำคุก 16 เดือน ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1777/2559 ของศาลชั้นต้น ยกฟ้องข้อหาร่วมกันลักทรัพย์