คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8483/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ท่อส่งน้ำทั้งสองสายของโจทก์เป็นท่อขนาดใหญ่ ยาวต่อเนื่อง และเป็นท่อเหล็กหุ้มด้วยฉนวนป้องกันมิให้เกิดสนิม ฝังอยู่ใต้ดินลึกประมาณ 2 เมตร ในเขตทางหลวงขนานไปกับถนนและอยู่ห่างจากขอบทางหลวงประมาณ 6 เมตร โดยบางช่วงมีการสร้างบ่อคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นระยะ ๆ ท่อส่งน้ำดังกล่าวมีลักษณะเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ที่โจทก์ใช้ต่อเนื่องกับโรงสูบน้ำที่ประกอบกิจการก่อให้เกิดประโยชน์และรายได้แก่โจทก์ และถือเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 5 ที่ใช้ในการประกอบอุตสาหกรรมผลิตน้ำและจำหน่ายน้ำของโจทก์ มิใช่ทรัพย์สินที่ให้งดเว้นจากการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินตามมาตรา 10 จึงต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินตามใบแจ้งรายการประเมิน (ภ.ร.ด. 8) ตามหนังสือเล่มที่ 02 เลขที่ 67-76 จำนวน 10 ฉบับ แต่ละฉบับลงวันที่ 8 มิถุนายน 2552 และหนังสือแจ้งผลการพิจารณา เลขที่ รย 72602/1285 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 และใบแจ้งคำชี้ขาด (ภ.ร.ด. 11) เล่มที่ 01 เลขที่ 01-10 จำนวน 10 ฉบับ แต่ละฉบับลงวันที่ 17 สิงหาคม 2552 ของจำเลย กับให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีและค่าปรับแก่โจทก์จำนวน 4,346,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันครบกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามใบแจ้งรายการประเมินเลขที่ 67 ถึง 76 ลงวันที่ 8 มิถุนายน 2552 เพิกถอนหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ เลขที่ รย 72602/1285 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 และใบแจ้งคำชี้ขาดเลขที่ 1 ถึง 10 ลงวันที่ 17 สิงหาคม 2552 ของจำเลยทั้งสิบปีภาษี และให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีและค่าปรับจำนวน 4,346,000 บาท แก่โจทก์ ภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด หากไม่คืนภายในกำหนดดังกล่าว ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติโดยที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันว่า โจทก์ก่อตั้งและดำเนินกิจการสืบเนื่องมาจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 ที่ให้การประปาส่วนภูมิภาคจัดตั้งเป็นบริษัทขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับผิดชอบพัฒนาและจัดการระบบท่อส่งน้ำดิบเพื่อจำหน่ายน้ำดิบในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก โจทก์ประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมผลิตและจำหน่ายน้ำประปาในภาคตะวันออก มีโรงสูบน้ำ 2 แห่ง ตั้งอยู่อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลและอ่างเก็บน้ำดอกกราย โจทก์วางท่อส่งน้ำดิบซึ่งเป็นท่อ STA ขนาดกว้าง 1.50 เมตร ยาว 7,400 เมตร และท่อ STA ขนาดกว้าง 1.30 เมตร ยาว 2,600 เมตร ฝังดินไปตามแนวถนนทางหลวงสายมาบข่า – ปลวกแดง และมีบ่อคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นระยะ ๆ ตามแนวท่อสำหรับใช้ในการดูแลบำรุงรักษาท่อส่งน้ำดิบ ซึ่งอยู่ในเขตรับผิดชอบจำเลย โจทก์ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับโรงสูบน้ำทั้งสองแห่งและเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินแก่จำเลยเรื่อยมา ต่อมาพนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยพบว่าท่อส่งน้ำดิบของโจทก์อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน จึงแจ้งให้โจทก์ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน แต่โจทก์ไม่ดำเนินการ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2552 พนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยได้แจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับท่อส่งน้ำประจำปีภาษี 2542 ถึงปีภาษี 2551 โดยกำหนดค่ารายปีท่อส่งน้ำขนาด 1.50 เมตร ยาว 7,400 เมตร เป็นค่ารายปี 2,664,000 บาท ค่าภาษี 333,000 บาท ท่อส่งน้ำขนาด 1.30 เมตร ยาว 2,600 เมตร เป็นค่ารายปี 811,200 บาท ค่าภาษี 101,400 บาท รวมเป็นค่ารายปี 3,475,200 บาท ค่าภาษี 434,400 บาท และให้โจทก์ชำระค่าปรับกรณีไม่ยื่นแบบแจ้งรายการปีละ 200 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ คณะกรรมการพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่พิจารณาแล้วมีมติให้ยกคำร้องของโจทก์ และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่น้ำคู้ได้มีคำชี้ขาดแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์ชำระค่าภาษีและค่าปรับแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในประการแรกว่า ท่อส่งน้ำพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยเห็นด้วยกับที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าท่อส่งน้ำพิพาทเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างหนึ่ง แต่ไม่เห็นด้วยที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าท่อส่งน้ำของโจทก์ไม่มีสภาพหรือลักษณะที่จะใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือใช้ในการประกอบอุตสาหกรรม เนื่องจากโจทก์ประกอบกิจการพัฒนาและจัดระบบการส่งน้ำเพื่อจำหน่ายน้ำดิบให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการต่าง ๆ โดยสภาพการใช้หรือการประกอบการของโจทก์ต้องมีน้ำซึ่งถือเป็นสินค้าอยู่ในท่อส่งน้ำจึงเป็นที่เก็บสินค้า ท่อส่งน้ำพิพาทจึงเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ที่ใช้เก็บสินค้าและใช้ในการประกอบอุตสาหกรรมของโจทก์ ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 9 และมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ส่วนโจทก์แก้อุทธรณ์ว่า ท่อส่งน้ำของโจทก์เป็นท่อที่ฝังอยู่ใต้ดินเพื่อส่งน้ำดิบ เป็นเพียงอุปกรณ์ให้น้ำดิบไหลผ่านมิได้มีสภาพที่บุคคลสามารถเข้าไปอยู่อาศัยหรือจะใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบอุตสาหกรรม จึงไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ซึ่งใช้ต่อเนื่องไปจากโรงสูบน้ำ ปัญหานี้โจทก์นำสืบว่า ท่อส่งน้ำทั้งสองสายมีลักษณะเป็นท่อวงกลมขนาดใหญ่ ยาวต่อเนื่อง เป็นท่อเหล็กหุ้มด้วยฉนวนป้องกันมิให้เกิดสนิม ฝังอยู่ใต้ดินลึกประมาณ 2 เมตร ในเขตทางหลวงขนานไปกับถนนและอยู่ห่างจากขอบทางหลวงประมาณ 6 เมตร โดยโจทก์จ่ายค่าเช่าที่ดินให้แก่กรมทางหลวงเพื่อใช้พื้นที่ฝังท่อ ในการส่งน้ำดิบผ่านท่อส่งน้ำแต่ละสายโจทก์มีโรงสูบน้ำเพื่อสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำส่งไปยังโรงผลิตน้ำประปาของการประปาส่วนภูมิภาคและผู้ใช้น้ำอื่น ๆ และมีโรงสูบน้ำเฉพาะเส้นหนองปลาไหล – หนองค้อ ที่คอยเพิ่มแรงดันของน้ำดิบให้มีกำลังวิ่งผ่านเส้นทางที่มีภูมิประเทศสูงชัน ซึ่งโจทก์ได้เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินอย่างครบถ้วน ท่อส่งน้ำแต่ละสายถือเป็นอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้ในการขนส่งน้ำ มิได้มีสภาพที่บุคคลสามารถเข้าไปอยู่อาศัย หรือใช้เป็นที่ไว้สินค้า หรือประกอบอุตสาหกรรมใด ๆ มิได้เป็นทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดประโยชน์อันเป็นรายได้โดยตรงของโจทก์ กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าท่อส่งน้ำดิบเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ส่วนจำเลยนำสืบว่า ท่อส่งน้ำทั้งสองสายของโจทก์มีลักษณะเป็นท่อขนาดใหญ่วางฝังดินไปตามแนวถนนมาบข่า – ปลวกแดง โดยมีบางส่วนหล่อเป็นแท่นปูนสี่เหลี่ยมฝังลงใต้ดินเป็นช่วง ๆ เพื่อยึดท่อส่งน้ำและเป็นจุดพักน้ำเพื่อส่งไปจำหน่ายในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ต่อเนื่องกับโรงสูบน้ำ และท่อส่งน้ำยังเป็นที่เก็บสินค้า (น้ำดิบ) และส่งต่อสินค้าไปจำหน่ายหรือให้บริการแก่ลูกค้าเพื่อหารายได้ จึงเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อหาประโยชน์เป็นรายได้ เห็นว่า พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 5 บัญญัตินิยามของคำว่า โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ให้กินความถึงแพด้วยเท่านั้น โดยมิได้กำหนดความหมายของสิ่งปลูกสร้างไว้โดยเฉพาะ เมื่อโจทก์และจำเลยนำสืบรับกันถึงสภาพและลักษณะของท่อน้ำทั้งสองสายของโจทก์ว่า เป็นท่อขนาดใหญ่ ยาวต่อเนื่อง และเป็นท่อเหล็กหุ้มด้วยฉนวนป้องกันมิให้เกิดสนิม ฝังอยู่ใต้ดินลึกประมาณ 2 เมตร ในเขตทางหลวง ขนานไปกับถนนและอยู่ห่างจากขอบทางหลวงประมาณ 6 เมตร โดยบางช่วงมีการสร้างบ่อคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นระยะ ๆ ซึ่งได้ความจากนายเจริญสุข พยานโจทก์ว่า บ่อคอนกรีตเสริมเหล็กดังกล่าวเป็นบ่อสำหรับการดูแลบำรุงรักษาท่อส่งน้ำดิบ เมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับภาพถ่ายแนวการฝังท่อ และภาพถ่ายท่อส่งน้ำดิบที่ออกจากโรงสูบน้ำ แล้ว จะเห็นได้ว่าท่อส่งน้ำดังกล่าวมีลักษณะเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างหนึ่ง แม้ท่อส่งน้ำทั้งสองสายจะไม่ได้วางอยู่บนพื้นดินและไม่ได้เชื่อมติดกับพื้นดินเป็นการถาวร แต่ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ก็มิได้กำหนดให้จัดเก็บภาษีเฉพาะสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะติดอยู่กับที่ดินเป็นการถาวรหรือเป็นส่วนควบกับที่ดินเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้ความจากพยานโจทก์อีกว่า น้ำจากโรงสูบน้ำของโจทก์จะไหลมารวมกันเชื่อมต่อเข้ากับท่อส่งน้ำภายนอกโรงสูบน้ำ ที่จุดเชื่อมต่อมีอุปกรณ์ประตูน้ำที่สามารถเปิดปิดควบคุมอัตราการไหลของน้ำและมีมาตรวัดอัตราการไหลของน้ำที่ส่งออกจากโรงสูบน้ำผ่านเข้าท่อส่งน้ำ อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ใช้ท่อส่งน้ำทั้งสองสายในการขนถ่ายน้ำจากโรงสูบน้ำของโจทก์ที่สูบน้ำดิบจากอ่างเก็บน้ำส่งไปยังโรงผลิตน้ำประปาของการประปาส่วนภูมิภาคและผู้ใช้น้ำอื่น ๆ โดยมีการเรียกเก็บค่าน้ำจากผู้ที่ใช้บริการจากโจทก์ อีกทั้งสภาพกิจการของโจทก์ต้องมีน้ำซึ่งถือเป็นสินค้าของโจทก์ส่งไปตามท่อส่งน้ำทั้งสองสายเพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้น้ำ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ท่อส่งน้ำพิพาททั้งสองสายเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ที่โจทก์ใช้ต่อเนื่องกับโรงสูบน้ำที่ประกอบกิจการก่อให้เกิดประโยชน์และรายได้แก่โจทก์ และถือเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ที่ใช้ในการประกอบอุตสาหกรรมผลิตน้ำและจำหน่ายน้ำของโจทก์ จึงมิใช่ทรัพย์สินที่ให้งดเว้นจากการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ท่อส่งน้ำทั้งสองสายของโจทก์จึงเป็นทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

Share