คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12560/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. และ ธ. โดย ช. ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ แต่ขณะนั้นฟ้องโจทก์ระบุว่าบริษัท พ. โดย ธ. ผู้เสียหาย ดังนั้น ตามคำฟ้องของโจทก์ บริษัท พ. เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. และ ธ. โดย ช. จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการซึ่งเป็นโจทก์ได้ แม้ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องในส่วนผู้เสียหายเป็นบริษัท พ. หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลทำให้คำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์และคำสั่งศาลที่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายได้ โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ใช่คู่ความที่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341
ระหว่างพิจารณา ห้างหุ้นส่วนจำกัดพรหมสวัสดิ์และนายธัชสกลยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ และขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 200,000 บาท ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมทั้งสองอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองว่า โจทก์ร่วมทั้งสองมีสิทธิยื่นอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องก่อนแก้ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่บริษัทพรหมสวัสดิ์ 2005 จำกัด โดยนายธัชสกล ผู้เสียหาย ต่อมาวันที่ 14 มิถุนายน 2555 ก่อนสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย ห้างหุ้นส่วนจำกัดพรหมสวัสดิ์ และนายธัชสกล โดยนางชฎาฎา ผู้รับมอบอำนาจ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ว่า ผู้ร้องเป็นผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหาย ผู้ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ โดยขอถือเอาคำฟ้อง บัญชีระบุพยาน และพยานหลักฐานทั้งปวงเป็นส่วนหนึ่งของผู้ร้อง ดังนี้ ห้างหุ้นส่วนจำกัดพรหมสวัสดิ์ และนายธัชสกล โดยนางชฎาฎา ผู้รับมอบอำนาจ จึงยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องของพนักงานอัยการ กรณีไม่อาจฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากคำฟ้องได้ เมื่อขณะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ฟ้องโจทก์ระบุว่าบริษัทพรหมสวัสดิ์ 2005 จำกัด โดยนายธัชสกล ผู้เสียหายดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น ตามคำฟ้องของโจทก์บริษัทพรหมสวัสดิ์ 2005 จำกัด โดยนายธัชสกล จึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัดพรหมสวัสดิ์ และนายธัชสกลในฐานะส่วนตัว โดยนางชฎาฎา ผู้รับมอบอำนาจ จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการซึ่งเป็นโจทก์ได้ การที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 14 มิถุนายน 2555 ว่า นางชฎาฎา ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทพรหมสวัสดิ์ 2005 จำกัด ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ และอนุญาตให้บริษัทพรหมสวัสดิ์ 2005 จำกัด เข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ จึงเป็นการบันทึกและสั่งอนุญาตโดยผิดหลงไปจากคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนางชฎาฎา คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ แม้ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2555 โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องในส่วนผู้เสียหาย เป็น บริษัทพรหมสวัสดิ์ 2005 จำกัด หรือห้างหุ้นส่วนจำกัดพรหมสวัสดิ์ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลทำให้คำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนางชฎาฎา ผู้รับมอบอำนาจของห้างหุ้นส่วนจำกัดพรหมสวัสดิ์ ฉบับลงวันที่ 14 มิถุนายน 2555 และคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายได้ เมื่อขณะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ห้างหุ้นส่วนจำกัดพรหมสวัสดิ์ และนายธัชสกลมิใช่ผู้เสียหายตามฟ้อง และคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เป็นการไม่ชอบดังกล่าว โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ใช่คู่ความที่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมทั้งสองนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองในข้ออื่นมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน

Share