แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ป.อ. มาตรา 371 วรรคแรก มีความมุ่งหมายเพื่อให้ความคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลที่มีต่อผู้เยาว์มิให้ผู้ใดพาไปหรือแยกออกจากความปกครองดูแล โดยไม่จำกัดว่าจะกระทำด้วยวิธีใด และไม่คำนึงถึงระยะใกล้หรือไกล การที่จำเลยอุ้มผู้เสียหายที่ 1 ขึ้นไปบนบ้านพาไปห้องนอนแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ถือว่าจำเลยแยกสิทธิปกครองของผู้เสียหายที่ 2 ในการควบคุมดูแลผู้เสียหายที่ 1 โดยปราศจากเหตุอันสมควร การกระทำของจำเลยเป็นการพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้ปกครองเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคสาม
จำเลยนำอวัยวะเพศของจำเลยใส่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 และได้ความจากแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์ผู้เสียหายที่ 1 ว่าพบเยื่อพรหมจารีฉีกขาด ดังนี้ แสดงว่าอวัยวะเพศของจำเลยได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 แล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง ส่วนจำเลยจะสำเร็จความใคร่หรือไม่ย่อมมิใช่สาระสำคัญ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 317, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 317 วรรคสาม เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 277 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 10 ปี คำให้การชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษฐานกระทำชำเราเด็ก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์ จำเลยไม่โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า เด็กหญิง ฮ. ผู้เสียหายที่ 1 อายุ 10 ปีเศษ อยู่ในความปกครองดูแลของนาง ก. ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นยาย ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องผู้เสียหายที่ 1 ออกจากบ้านของผู้เสียหายที่ 2 ไปเล่นกับเพื่อนอยู่ใต้ถุนบ้านของจำเลย และผู้เสียหายที่ 1 นั่งอยู่คนเดียวที่รถยนต์กระบะของจำเลยที่จอดอยู่ใต้ถุนบ้าน จำเลยอุ้มผู้เสียหายที่ 1 ขึ้นไปบนบ้านเข้าไปในห้องนอนแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ที่บ้านของจำเลย โดยขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อยู่ที่บ้านจำเลยก่อนแล้ว จำเลยไม่มีส่วนในการนำพาไปที่บ้านของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลต้องระวางโทษฯ” ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมีความุม่งหมาย เพื่อให้ความคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลที่มีต่อผู้เยาว์มิให้ผู้ใดพาไปหรือแยกออกจากความปกครองดูแลโดยไม่จำกัดว่าจะกระทำด้วยวิธีใด และไม่คำนึงถึงระยะใกล้หรือไกล แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เสียหายที่ 1 นั่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านของจำเลย แต่ผู้เสียหายที่ 1 ก็ยังอยู่ในความปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 จำเลยไม่มีสิทธิจะพาผู้เสียหายที่ 1 ไปยังที่ใดโดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยินยอม การที่จำเลยมาอุ้มผู้เสียหายที่ 1 ขึ้นไปบนบ้านพาไปห้องนอนแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ถือว่าจำเลยแยกสิทธิปกครองของผู้เสียหายที่ 2 ในการควบคุมดูแลผู้เสียหายที่ 1 โดยปราศจากเหตุอันสมควร การกระทำของจำเลยเป็นการพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้ปกครองเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 นั้น เห็นว่า จำเลยฎีกายอมรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยนำอวัยวะเพศของจำเลยใส่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 และได้ความจากแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์ผู้เสียหายที่ 1 ว่า พบเยื่อพรหมจารีฉีกขาด ดังนี้แสดงว่าอวัยวะเพศของจำเลยได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 แล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง ส่วนจำเลยจะสำเร็จความใคร่หรือไม่ย่อมมิใช่สาระสำคัญ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน