คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1528/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงจะขายที่ดินให้โจทก์โดยผู้มีชื่อเป็นตัวแทนจำเลย. แต่ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่าผู้มีชื่อนั้นไม่ใช่ตัวแทนจำเลย. หากแต่เป็นผู้รับซื้อที่ดินจากจำเลยแล้วมาโอนให้โจทก์. ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจึงต่างกับข้อหาตามฟ้อง. ทั้งเมื่อจำเลยไม่ได้ตกลงขายที่ดินให้โจทก์. โจทก์กับจำเลยย่อมไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน. โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ได้.
ผู้ซื้อกับผู้ขายทำสัญญากันไว้ว่าจะชำระราคาและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกัน. เมื่อโฉนดพ้นจากการอายัด สิทธิเรียกร้องในการบังคับตามสัญญาซื้อขายย่อมเริ่มนับแต่เมื่อมีการเพิกถอนการอายัดเป็นต้นไป. หากนับถึงวันฟ้องยังไม่พ้นกำหนดสิบปี. คดีย่อมไม่ขาดอายุความฟ้องร้อง.
จำเลยตกลงจะขายที่ดินของจำเลยตามตราจองซึ่งแบ่งแยกจากตราจองฉบับเดิมซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมหลายเจ้าของ. เมื่อตราจองของจำเลยถูกเพิกถอนกลับคืนเป็นตราจองฉบับเดิม.ก็ถือได้ว่าจำเลยตกลงขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยตามตราจองฉบับเดิมนั้น. ซึ่งจำเลยมีสิทธิขายได้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงจะขายที่ดินตามตราจองที่ 870, 871ซึ่งแบ่งแยกจากตราจองใหญ่ที่ 399 ให้โจทก์ โดยนางสาวจำรวย กรลักษณ์เป็นตัวแทนจำเลย ได้รับเงินแล้วบางส่วน ต่อมาตราจองที่ 870, 871ถูกศาลพิพากษาทำลาย จำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้โจทก์ จึงขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินเนื้อที่ 20 ไร่ 73 ตารางวา จำเลยต่อสู้ว่า ไม่ได้ตกลงจะขายที่ดินให้โจทก์ โจทก์กับนางสาวจำรวยยักยอกลายมือชื่อจำเลยปลอมแปลงเอกสาร โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะนางสาวจำรวยยังไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการโอนให้จำเลยทราบ ที่ดินตราจองที่ 399 เป็นกรรมสิทธิ์รวมหลายเจ้าของยังไม่ได้แบ่งแยก ไม่มีทางบังคับให้โอนได้ คดีโจทก์ขาดอายุความ ระหว่างพิจารณา ร้อยเอกประยูร บุนนาค ร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมศาลอนุญาต ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมอบให้นางสาวจำรวยเป็นตัวแทนขายที่ดินตราจองที่ 870, 871 โจทก์รับซื้อไว้โดยชอบ จำเลยมีสิทธิจำหน่ายที่ดินส่วนของจำเลยคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาบังคับให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์รวมเนื้อที่ 20 ไร่ 73 ตารางวา จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินตามตราจองที่ 870 เนื้อที่ 13 ไร่33 ตารางวา จำเลยมอบให้นางสาวจำรวยเป็นตัวแทนขาย โจทก์เป็นผู้รับซื้อไว้ จำเลยต้องผูกพัน สำหรับที่ดินตามตราจองที่ 871 นั้นตามสัญญาจะซื้อขายปรากฏว่า จำเลยขายที่แปลงนี้ให้แก่นางสาวจำรวยและยอมให้นางสาวจำรวยโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาให้บุคคลอื่นได้ด้วยโจทก์ได้รับโอนที่แปลงนี้จากนางสาวจำรวย โดยนางสาวจำรวยมิได้เป็นตัวแทนจำเลย ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้อง เพราะในฟ้องระบุไว้ชัดว่า จำเลยตกลงจะขายที่พิพาทนี้ให้โจทก์ โดยนางสาวจำรวยเป็นตัวแทนจำเลย อีกทั้งเมื่อจำเลยไม่ได้ตกลงขายที่ดินตราจองแปลงนี้ให้โจทก์ หากแต่นางสาวจำรวยเป็นผู้ตกลงจะขายแก่โจทก์ โจทก์กับจำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยโอนที่ดินตราจองแปลงนี้ให้โจทก์ได้ ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ที่พิพาทมีหลายเจ้าของ การที่จำเลยตกลงซื้อขายที่ดินมิได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวม ย่อมไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรค 2 นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตราจองที่ 399 รวมเนื้อที่ประมาณ 112 ไร่ 81 ตารางวามีชื่อจำเลย จำเลยร่วม และนายประสิทธิ์ บุนนาค ถือกรรมสิทธิ์ จำเลยขายตราจองที่ 870 เนื้อที่ 13 ไร่ 33 ตารางวา เมื่อตราจองฉบับนี้ถูกเพิกถอนกลับคืนเป็นตราจองที่ 399 ถือได้ว่าจำเลยขายเฉพาะส่วนของจำเลยตามตราจองที่ 399 นั้น ซึ่งจำเลยมีสิทธิขายได้ตามมาตรา 1361วรรคแรก ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คดีขาดอายุความฟ้องร้องนั้น มีเอกสารระหว่างผู้ซื้อผู้ขายว่า เงินที่ยังชำระไม่หมด ผู้ซื้อจะชำระให้ต่อเมื่อได้โอนโฉนดกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากโฉนดยังถูกอายัดอยู่ เอกสารนี้แสดงว่าคู่สัญญาได้ตกลงกันว่าตราจองที่ 399 ถูกเพิกถอนการอายัดเมื่อใดเมื่อนั้นคู่สัญญาจะทำการโอนทะเบียนในการซื้อขาย สิทธิของโจทก์ในการบังคับตามสัญญาซื้อขายนี้เริ่มต้นเมื่อนางสาวประจง บุนนาคเพิกถอนการอายัดที่ดินเมื่อ 9 ตุลาคม 2500 นับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ พิพากษาแก้ เฉพาะจำนวนเนื้อที่ดินที่ให้โอนเป็นของโจทก์ จาก 20ไร่ 73 ตารางวา เหลือเพียง 13 ไร่ 33 ตารางวา.

Share