แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อต่างประเทศมีกำหนด2 ปี โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1ไว้ต่อโจทก์ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ภายในกำหนดเวลา 2 ปีตามสัญญาด้วย การที่โจทก์อนุมัติขยายเวลาให้จำเลยที่ 1 ศึกษาต่อเพิ่มเติมภายหลังอีก8 เดือน เป็นการอนุมัตินอกเหนือระยะเวลาตามสัญญาที่จำเลยที่ 2ได้ค้ำประกันความรับผิดไว้ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับรู้เงื่อนไขในข้อนี้ จึงไม่อาจให้มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ได้ ทั้งข้อความในสัญญาที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ทำไว้ต่อโจทก์ก็ไม่มีข้อความตอนใดให้เห็นว่า หากโจทก์อนุมัติขยายเวลาให้จำเลยที่ 1ศึกษาต่อเพิ่มเติมภายหลัง จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดโดยไม่ต้องทำสัญญาใหม่ ดังนี้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากครบกำหนด 2 ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ลาไปศึกษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 2 ปี โดยได้รับเงินเดือนเต็มจากโจทก์เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2523 จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ว่า เมื่อเสร็จการศึกษาทั้งนี้ไม่ว่าจะศึกษาสำเร็จหรือถูกเรียกตัวกลับ จำเลยที่ 1 จะต้องรับราชการต่อเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 เท่าของเวลาที่ได้รับทุนหรือที่ได้รับเงินเดือนทั้งนี้สุดแต่เวลาใดจะมากกว่ากันถ้าจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการด้วยเหตุใดก็ดีจำเลยที่ 1 จะชดใช้เงินทุน เงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและเงินอื่นใดทั้งสิ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากทางราชการในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อและจะจ่ายเงินเบี้ยปรับให้แก่โจทก์อีก 1 เท่า ของเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้คืนโดยจำเลยที่ 1 ต้องชำระเงินทั้งหมดภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากโจทก์ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระภายในกำหนดหรือชำระไม่ครบยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากเงินที่ยังไม่ได้ชำระร้อยละ 15 ต่อปี และวันเดียวกันจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดยยอมชำระหนี้ให้โจทก์ตามความรับผิดของจำเลยที่ 1 ทุกประการ จำเลยที่ 1 ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยนอร์ทอีสต์ หลุยส์เซียนาประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2523 ถึงวันที่ 18สิงหาคม 2525 เมื่อครบกำหนด 2 ปี จำเลยที่ 1 ยังศึกษาไม่เสร็จสมบูรณ์ตามกำหนดจึงขออนุมัติโจทก์ลาศึกษาต่อเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง มีกำหนดครั้งละ 4 เดือน รวม 8 เดือน นับแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2525 ถึงวันที่ 18 เมษายน 2526 โดยจำเลยที่ 1 ได้รับเงินเดือนและเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพในระหว่างเวลาที่ศึกษาซึ่งโจทก์ได้อนุมัติตามคำขอของจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 2526 จำเลยที่ 1ขอลาออกจากราชการและโจทก์ได้มีคำสั่งอนุญาต จำเลยที่ 1ได้รับเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการไปศึกษาคือ ค่าโดยสารเครื่องบินเที่ยวไป ค่าเครื่องแต่งตัวค่าใช้จ่ายและค่าเล่าเรียน เงินเดือนและเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 411,397.71 บาทจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจึงต้องจ่ายเบี้ยปรับให้โจทก์อีก 1 เท่าของจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้แก่โจทก์ รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น 822,795.42 บาท โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่นำเงินมาชำระแก่โจทก์ภายใน 30 วัน จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์อัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ครบกำหนดจะต้องนำเงินมาชำระถึงวันฟ้องเป็นเงินค่าดอกเบี้ย 36,856.17 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยทั้งสิ้นเป็นเงิน 859,651.59 บาท จำเลยที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกัน จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 โจทก์ได้ทวงถามจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 859,651.59 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ในต้นเงิน 822,795.42 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศมีกำหนด 2 ปี โดยทำสัญญาไว้ต่อโจทก์จริงแต่ไม่มีข้อความตอนใดที่กล่าวถึงความรับผิดของจำเลยที่ 1 ในระหว่างศึกษาสำหรับระยะเวลาที่เกินกว่า 2 ปีหรือส่วนเวลาที่ทางราชการอนุมัติให้ศึกษาต่อไปไว้เลย จำเลยที่ 2จึงหาต้องรับผิดเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในช่วงที่เกินจาก 2 ปีจำเลยที่ 1 มิได้ประพฤติผิดสัญญาในช่วงเวลา 2 ปี และเอกสารแสดงจำนวนเงินที่โจทก์เรียกร้องเป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้นฝ่ายเดียวจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับรู้ในความถูกต้อง จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน822,795.42 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 มีนาคม 2531 ไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 เฉพาะที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับภายในวันที่18 สิงหาคม 2525 กับเบี้ยปรับอีก 1 เท่า ของหนี้ดังกล่าวและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 มีนาคม 2531ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…เห็นว่า ตามสัญญาของข้าราชการที่ไปศึกษาหรือฝึกอบรม ณ ต่างประเทศเอกสารหมาย จ.1 มีข้อความระบุใจความว่า โจทก์ได้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศมีกำหนด 2 ปี พร้อมทั้งระบุความรับผิดของจำเลยที่ 1 ในระหว่างที่ได้รับการอนุมัติให้ศึกษาต่อตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ไว้ด้วยสัญญาดังกล่าวทำเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2523 ในวันเดียวกันนี้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.2 ค้ำประกันความรับผิดการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ 1 ที่ทำไว้กับโจทก์ตามเอกสารหมายจ.1 เมื่อสัญญาดังกล่าว โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อมีกำหนด 2 ปี จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ภายในกำหนดเวลา 2 ปี ตามสัญญาด้วยการที่โจทก์อนุมัติขยายเวลาให้จำเลยที่ 1 ศึกษาต่อเพิ่มเติมภายหลังอีกรวม 8 เดือน เป็นการอนุมัตินอกเหนือระยะเวลาตามสัญญาที่จำเลยที่ 2 ได้ค้ำประกันความรับผิดไว้ และเห็นว่าหากโจทก์มีความประสงค์จะให้จำเลยที่ 2 รับผิดเพิ่มเติม โจทก์สามารถจะเรียกจำเลยที่ 2 ให้มาทำสัญญาใหม่ก่อนอนุมัติได้ แต่โจทก์หาได้ทำไม่ การที่โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ขยายเวลาศึกษาต่อและให้ผู้ค้ำประกันขยายระยะเวลารับผิดตามหนังสือของโจทก์เอกสารหมาย จ.5 ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับรู้เงื่อนไขข้อนี้ด้วย จึงไม่อาจให้มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ได้ อีกทั้งข้อความในสัญญาเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ก็ไม่มีข้อความตอนใดให้เห็นว่า หากโจทก์อนุมัติขยายเวลาให้จำเลยที่ 1 ศึกษาต่อเพิ่มเติมภายหลังอีกจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดโดยไม่ต้องทำสัญญาใหม่ดังนี้จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากครบกำหนด2 ปี ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน