คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันชี้สองสถาน โจทก์จำเลยตกลงกันต่างไม่ขอสืบพยานบุคคล โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินปูโฉนดที่ดินของโจทก์จำเลยและให้ศาลชี้ขาดตัดสินไปตามผลแห่งการปูโฉนดคือถ้าที่ดินพิพาทที่ฝ่ายหนึ่งหาว่าอีกฝ่ายหนึ่งบุกรุกอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใดก็ให้ตกเป็นของฝ่ายนั้น ดังนี้ ข้อตกลงที่คู่ความท้าเป็นข้อแพ้ชนะกันก็คือให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการปูโฉนดของทั้งสองฝ่ายและให้ศาลพิพากษาไปตามผลของการปูโฉนด คือที่ดินพิพาทอยู่ในโฉนดของฝ่ายใดก็ให้ตกเป็นของฝ่ายนั้น แต่ตามแผนที่ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินทำส่งให้ศาลนั้นไม่ปรากฏว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใด จึงยังถือไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการปูโฉนดแล้วดังที่โจทก์จำเลยตกลงท้ากัน ศาลจึงยังไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดให้เป็นไปตามข้อท้าของโจทก์จำเลยดังกล่าวนั้นได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยถือเอาข้อเท็จจริงอื่นซึ่งไม่ได้อยู่ในข้อท้าของคู่ความมาวินิจฉัยนั้น ย่อมเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่คู่ความท้ากัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๒๘ เนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ๒ งาน ๙๒ ตารางวา และได้ครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมา จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดินภายในเส้นสีน้ำเงินตามแผนที่ท้ายฟ้องได้ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา จำเลยได้ทำรั้วรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ ๑๒๖ ตารางวา แล้วจำเลยก็กองดินรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อรั้วและขนกองดินออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินโฉนดที่ ๒๘ ของโจทก์และที่ดินโฉนดที่ ๘๖๒๘ ของจำเลยมีเขตตามแผนที่ท้ายคำให้การและฟ้องแย้งโจทก์ไม่ได้ปกครองเข้ามาถึงที่พิพาทรั้วของจำเลยนั้นทำไว้สำหรับกันกองดิน ไม่ใช่เพื่อแสดงเขตที่ดิน เพราะยังเว้นที่ว่างนอกรั้วอีกประมาณ ๗๕ ตารางวา เพื่อปลูกที่พักคนงาน โจทก์ขัดขวางไม่ยอมให้จำเลยครอบครองที่ ๗๕ ตารางวานั้น จึงขอให้พิพากษายกฟ้องและห้ามโจทก์กับบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินเนื้อที่ ๗๕ ตารางวาในรูปสี่เหลี่ยม ข ค ฉ จ ตามแผนที่ท้ายคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยอีกต่อไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าที่ดินของโจทก์มีแนวเขตตามฟ้อง โจทก์ได้ครอบครองมาโดยสุจริตเปิดเผยเกิน ๑๐ ปีแล้ว จำเลยก็ทราบว่าโจทก์ครอบครองถึงแนวรั้ว จึงขอให้ยกฟ้องแย้ง
วันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยแถลงไม่สืบพยานบุคคล แต่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินปูโฉนดของโจทก์จำเลย ถ้าที่พิพาทที่ฝ่ายหนึ่งหาว่าอีกฝ่ายหนึ่งบุกรุกอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใด ก็ขอให้ตกเป็นของฝ่ายนั้น ศาลอนุญาตตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงท้ากัน ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดและส่งแผนที่กระดาษบาง ๑ แผ่นมามีเครื่องหมายทางสาธารณประโยชน์หมายเลข ๑ และ ๒ และต่อมาได้ขยายส่วนแผนที่หลังโฉนดตามที่โจทก์ขอ และตรวจสอบแล้วว่าโฉนดเลขที่ ๑๔๑๘๕ อยู่ระหว่างทางสาธารณประโยชน์หมายเลข ๑ และ ๒ พร้อมทั้งสำนักงานที่ดินได้ส่งเอกสารเกี่ยวกับการระวังแนวเขตมาด้วย ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงนัดฟังคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นในการวินิจฉัยว่า ที่พิพาทติดทางสาธารณประโยชน์หมายเลข ๑ หรือ ๒ ถ้าติดหมายเลข ๑ ก็หมายความว่า จำเลยรุกล้ำที่ดินของโจทก์ถ้าติดหมายเลข ๒ ก็หมายความว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ แล้ววินิจฉัยว่าที่พิพาทติดทางสาธารณประโยชน์หมายเลข ๑ จึงพิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่วิวาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองรื้อรั้วออกไปจากที่ดินของโจทก์ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามข้อตกลงที่คู่ความท้าเป็นข้อแพ้ชนะก็คือให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการปูโฉนดของทั้งสองฝ่าย และให้ศาลพิพากษาไปตามผลของการปูโฉนด คือถ้าที่พิพาทที่ฝ่ายหนึ่งหาว่าอีกฝ่ายหนึ่งบุกรุกอยู่ในโฉนดของฝ่ายใด ก็ให้ตกเป็นของฝ่ายนั้น แต่ตามแผนที่ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินทำมาส่งศาลนั้น ไม่ปรากฏว่าที่ดินพิพาทซึ่งทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันนี้อยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใด จึงยังถือไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการปูโฉนดแล้วดังที่คู่ความตกลงท้ากัน ศาลจึงยังไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดให้เป็นไปตามข้อท้าของโจทก์ จำเลยดังกล่าวนั้นได้ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยถือเอาข้อเท็จจริงอื่นซึ่งไม่ได้อยู่ในข้อท้าของคู่ความมาวินิจฉัยนั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่คู่ความท้ากัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่นั้น ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share