คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5275/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองจะอ้างเรื่องเอกสารปลอมขึ้นเป็นเหตุแห่งการปฏิเสธ แต่จำเลยทั้งสองไม่ได้ระบุชี้ชัดว่าเป็นการปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือในส่วนหนึ่งส่วนใด หรือเป็นการปลอมโดยการกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษซึ่งมีลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยทั้งสอง นอกจากนี้จำเลยทั้งสองอ้างว่าเอกสารเกิดขึ้นเพราะกลฉ้อฉลของโจทก์กับพวก โดยจำเลยทั้งสองมิได้รู้เห็นยินยอมให้กระทำได้ นิติกรรมจึงตกเป็นโมฆะ ก็เป็นการให้การทำนองยอมรับว่าจำเลยทั้งสองเข้าทำนิติกรรมกับโจทก์จริง แต่ทำไปเพราะถูกโจทก์ทำกลฉ้อฉลซึ่งเป็นคนละกรณีกับการกล่าวอ้างว่าเอกสารเป็นเอกสารปลอม คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองจึงเป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้ง และไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง และมาตรา 172 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นที่จำเลยทั้งสองจะนำพยานเข้าสืบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,821,260.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.75 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 2,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ และหากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์อื่น ๆ ของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยทำนิติกรรมตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง ขณะจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อในเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3 ถึง 6 เอกสารดังกล่าวยังไม่มีการกรอกข้อความในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ อีกทั้งลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวก็ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยทั้งสอง เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3 ถึง 6 จึงเป็นเอกสารปลอมที่เกิดจากกลฉ้อฉลของโจทก์กับพวก โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง และขอให้มีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง ให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินเลขที่ 11070 ตำบลเชียงรากใหญ่ (บ้านท้องคุ้ง) อำเภอสามโคก (เชียงราก) จังหวัดปทุมธานี แก่จำเลยทั้งสองตามฟ้องแย้ง โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองทำนิติกรรมและได้รับเงินไปจากโจทก์แล้วตามฟ้อง นิติกรรมดังกล่าวมิได้เกิดจากกลฉ้อฉลของโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าว ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 2,821,260.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.75 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 2,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 27 มิถุนายน 2539) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 11070 ตำบลเชียงรากใหญ่ (บ้านท้องคุ้ง) อำเภอสามโคก (เชียงราก) จังหวัดปทุมธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้ยึด ทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองให้ยกเสีย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าแล้ว คดีนี้จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยทำสัญญากู้ยืม สัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองกับโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง สัญญากู้เงิน บันทึกข้อตกลง หนังสือสัญญาจำนองที่ดินพร้อมหนังสือสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองกรรมสิทธิ์ที่ดิน และสัญญาค้ำประกันเงินกู้หรือเบิกเงินเกินบัญชี เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3 ถึง 6 ตามลำดับ เป็นเอกสารปลอม ขณะจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อ เอกสารดังกล่าวยังไม่ได้กรอกข้อความในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ อีกทั้งลายมือในเอกสารเหล่านั้นก็ไม่ใช่ลายมือของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นเอกสารปลอม ตามคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวแม้จำเลยทั้งสองจะอ้างเรื่องเอกสารปลอมขึ้นเป็นเหตุแห่งการปฏิเสธ แต่จำเลยทั้งสองไม่ได้ระบุชี้ชัดว่าเอกสารที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นเอกสารปลอมนั้นเป็นการปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือในส่วนหนึ่งส่วนใด หรือเป็นการปลอมโดยการกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษซึ่งมีลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยทั้งสอง นอกจากนี้การที่จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งต่อไปว่า เอกสารดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะกลฉ้อฉลของโจทก์กับพวก โดยจำเลยทั้งสองมิได้รู้เห็นยินยอมให้กระทำได้ นิติกรรมจึงตกเป็นโมฆะนั้น ก็เป็นการให้การในทำนองยอมรับว่าจำเลยทั้งสองเข้าทำนิติกรรมกับโจทก์จริง แต่ทำไปเพราะถูกโจทก์ทำกลฉ้อฉลซึ่งเป็นคนละกรณีกับการกล่าวอ้างว่าเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3 ถึง 6 เป็นเอกสารปลอม คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองจึงเป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้ง และไม่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง และมาตรา 172 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นที่จำเลยทั้งสองจะนำพยานเข้าสืบ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 2,000,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยทั้งสองได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 11070 เป็นประกันการชำระหนี้ ภายหลังทำสัญญาจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น และเมื่อได้วินิจฉัยมาดังกล่าวแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยในประเด็นอื่น ๆ อีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนไป
อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแย้ง แต่ยังไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องแย้ง เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องแย้งในศาลชั้นต้น และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share