คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11600/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ส่งมอบสินค้าแก่จำเลยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2541 สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะบังคับให้จำเลยชำระเงินค่าประกันผลงานซึ่งหักจากค่าสินค้าไว้คืนแก่โจทก์ย่อมเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2543 เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2544 จึงยังไม่ขาดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ระบบสื่อสารไปจากโจทก์หลายรายการรวมเป็นเงิน 21,114,134.12 บาท โดยจำเลยหักค่าสินค้าไว้เพื่อเป็นประกันผลงานและความชำรุดบกพร่องเป็นเงิน 821,590 บาท และตกลงคืนให้แก่โจทก์เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันส่งมอบสินค้า โจทก์ส่งมอบสินค้าแก่จำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2541 จำเลยต้องคืนเงินค่าประกันผลงานให้แก่โจทก์ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2543 แต่จำเลยไม่ชำระคืน โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 37,646.82 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 859,236.82 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 821,590 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องขาดอายุความแล้ว เพราะโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ส่งมอบสินค้าแก่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 821,590 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2543 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 กรกฎาคม 2544) ต้องไม่เกิน 37,646.82 บาท ตามที่โจทก์ขอมา ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์นำสืบโดยมีนายกิติศักดิ์ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์และกรรมการของโจทก์ กับนายปัญญากรรมการของโจทก์เบิกความในทำนองเดียวกันว่า เมื่อประมาณเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2541 จำเลยสั่งซื้อสินค้าประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ระบบสื่อสารจากโจทก์หลายรายการและหลายครั้งรวมเป็นเงิน 21,114,134.12 บาท ซึ่งเป็นราคาที่รวมค่าติดตั้ง ค่าขนย้ายและภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ตามสำเนาใบกำกับภาษี/ใบส่งของและใบแจ้งหนี้เอกสารหมาย จ. 6 และ จ. 7 การซื้อขายครั้งนี้มิได้มีการทำสัญญาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร จำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อนำไปขายต่อให้แก่กรุงเทพมหานครในโครงการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ของศูนย์บัญชาการกรุงเทพมหานครซึ่งจำเลยเป็นผู้ประมูลงานได้ ตามสัญญาซื้อขายคอมพิวเตอร์เอกสารหมาย จ. 9 จำเลยชำระค่าสินค้าแก่โจทก์แล้วบางส่วนเป็นเงิน 20,292,944.43 บาท คงค้างชำระงวดสุดท้ายตามฟ้องเป็นเงิน 821,590 บาท เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่จำเลยตกลงรับประกันสินค้าและงานที่ทำต่อกรุงเทพมหานครไว้เป็นเวลา 2 ปี นับแต่วันส่งมอบงานงวดสุดท้าย โดยกรุงเทพมหานครจะหักเงินที่จะจ่ายแก่จำเลยไว้ร้อยละ 5 ในงวดที่ 2 และที่ 3 จำเลยจึงให้โจทก์รับประกันสินค้าและงานที่ทำต่อจำเลยด้วยในเงื่อนไขเดียวกัน โจทก์ส่งมอบสินค้าแก่จำเลยงวดสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2541 ปรากฏว่าสินค้าทั้งหมดไม่มีความชำรุดบกพร่อง จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2543 ซึ่งจำเลยได้รับเงินจำนวนนี้คืนจากกรุงเทพมหานครแล้วตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2543 ตามสำเนาฎีกาเบิกเงินรายจ่ายตามงบประมาณพร้อมใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ. 10 (เอกสารรวมอยู่ในสำนวน) โจทก์มีหนังสือตามเอกสารหมาย จ. 4 ทวงถามไปยังจำเลย จำเลยได้รับหนังสือตามใบตอบรับเอกสารหมาย จ. 5 แล้ว แต่ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ ฝ่ายจำเลยนำสืบโดยมีนายประทิต ที่ปรึกษาของจำเลย ซึ่งเป็นกรรมการและหุ้นส่วนของจำเลยในขณะเกิดเหตุคดีนี้ และนายวิชิตกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยเบิกความในทำนองเดียวกันว่า ในขณะเกิดเหตุคดีนี้โจทก์และจำเลยมีผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัททั้งสองประมาณสองในสามเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกัน ต้นปี 2541 นายปัญญากรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนทั้งโจทก์และจำเลยในขณะนั้นได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ติดต่อประสานงานกับกรุงเทพมหานครในโครงการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ของศูนย์บัญชาการกรุงเทพมหานคร นายปัญญาให้จำเลยเป็นผู้เข้าประมูลงานเนื่องจากมีคุณสมบัติในเรื่องทุนจดทะเบียนครบถ้วนตามข้อกำหนดของกรุงเทพมหานคร ส่วนโจทก์มีทุนจดทะเบียนต่ำกว่าที่กรุงเทพมหานครกำหนด แต่โจทก์จำเลยตกลงกันให้โจทก์เป็นผู้ปฏิบัติงานโดยจำเลยจะได้ค่าตอบแทนในอัตราร้อยละ 5 ของวงเงินที่มีการทำสัญญา จำเลยเป็นผู้ประมูลงานได้ในราคา 21,500,000 บาท ตามสัญญาซื้อขายคอมพิวเตอร์เอกสารหมาย ล.1 จำเลยจึงมีสิทธิได้เงินจากโจทก์จำนวน 1,075,000 บาท เป็นค่าตอบแทนตามที่ตกลงกัน ส่วนโจทก์จะได้ค่าสิ่งของรวมทั้งการดำเนินงานติดตั้งจำนวน 20,425,000 บาท ระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีการตกลงเรียกค่าประกันผลงาน โจทก์ดำเนินการติดตั้งและได้ส่งมอบระบบงานโดยเรียกเก็บเงินจากจำเลยเป็นระยะ จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ไปแล้วเป็นเงินประมาณ 20,290,000 บาท ยังคงค้างชำระอีกประมาณ 130,000 บาท เท่านั้น ซึ่งโจทก์ยังไม่ได้เรียกเก็บเงินจำนวนนี้จากจำเลย จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินจำนวนนี้แก่โจทก์ตั้งแต่ปลายปี 2541 เมื่อนับถึงวันฟ้องคดีโจทก์จึงขาดอายุความ 2 ปีแล้ว จำเลยส่งมอบงานให้แก่กรุงเทพมหานครเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2541 และรับเงินมาจำนวน 20,532,500 บาท โดยกรุงเทพมหานครหักเงินไว้เป็นค่าประกันผลงานในอัตราร้อยละ 5 ของงวดการชำระเงินงวดที่ 2 และที่ 3 รวมเป็นเงิน 967,500 บาท เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารที่จำเลยสั่งซื้อไปจากโจทก์เป็นเงินรวม 21,114,134.12 บาท โดยยังค้างชำระอยู่อีก 821,590 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยเคยสั่งซื้อสินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์การสื่อสารจากโจทก์ แต่มิได้ซื้อกันในราคาทั้งสิ้น 20,855,000 บาท ตามฟ้อง และไม่เคยเป็นหนี้ใดๆ ต่อโจทก์ ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีจึงมีเพียงว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าไปจากโจทก์จำนวนเท่าใดและยังค้างชำระราคาแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด แต่จำเลยกลับนำสืบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยคือจำเลยเข้าประมูลงานจากกรุงเทพมหานครได้เป็นเงิน 21,500,000 บาท แล้วให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการโดยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินร้อยละ 5 ของวงเงินที่มีการทำสัญญาเป็นเงิน 1,075,000 บาท เหตุเพราะโจทก์มีคุณสมบัติในเรื่องทุนจดทะเบียนไม่ครบถ้วนตามข้อกำหนดของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ปรากฏในคำให้การของจำเลย และจำเลยมิได้นำสืบถึงเรื่องการซื้อขายสินค้าตามฟ้องว่า แท้จริงซื้อขายกันจำนวนเท่าใดตามที่ให้การต่อสู้เป็นข้อพิพาทไว้ จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นข้อพิพาทที่ไม่มีประเด็นให้นำสืบ ไม่อาจรับฟังได้ และจำเลยยังนำสืบยอมรับว่า ตามความเป็นจริงยังค้างชำระเงินแก่โจทก์อีกประมาณ 130,000 บาท ในขณะที่ให้การว่า ไม่เคยเป็นหนี้ใดๆ ต่อโจทก์ จึงเป็นการขัดแย้งกันเอง เป็นข้อพิรุธอยู่ในตัวว่ามิได้ให้การตามความเป็นจริง เมื่อโจทก์นำสืบโดยมีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารรับฟังได้ตามฟ้องดังที่ได้กล่าวมาแล้ว จำเลยย่อมมีหน้าที่ต้องชำระหนี้แก่โจทก์ ส่วนที่โจทก์ฟ้องและนำสืบในทำนองเดียวกันว่า เงินตามฟ้องจำนวน 821,590 บาท เป็นเงินค่าสินค้าที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์เป็นงวดสุดท้ายนั้น เป็นเงินที่จำเลยหักจากค่าสินค้าไว้เป็นค่าประกันผลงาน ซึ่งจำเลยจะจ่ายให้แก่โจทก์เมื่อครบกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบงานงวดสุดท้าย เพราะจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญากับกรุงเทพมหานครถูกกรุงเทพมหานครหักเงินไว้เป็นค่าประกันผลงานในลักษณะเดียวกันนั้น จำเลยให้การและนำสืบว่า ไม่เคยมีการตกลงระหว่างโจทก์จำเลยให้หักเงินเป็นค่าประกันผลงานดังกล่าวไว้ แต่จำเลยนำสืบรับว่า จำเลยกับกรุงเทพมหานครตกลงกันตามสัญญาว่าให้กรุงเทพมหานครหักเงินไว้เป็นค่าประกันผลงานจากงวดชำระเงินครั้งที่ 2 และที่ 3 เป็นเงิน 967,500 บาท ซึ่งจำเลยจะได้รับเงินจำนวนนี้คืนเมื่อการส่งมอบงานทั้งหมดไม่มีข้อชำรุดบกพร่อง กรุงเทพมหานครได้คืนเงินกรณีนี้แก่จำเลยแล้วจำนวน 941,113.63 บาท จำเลยได้รับคืนเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2543 ตามสำเนาใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ. 10 แผ่นที่ 2 เห็นว่า การซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยมิได้มีการทำสัญญากันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเพราะขณะเกิดเหตุเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน แต่ก็นำสืบรับกันว่า มีการบริหารการเงินการบัญชีและบุคลากรแยกจากกันต่างหาก ดังนั้น เมื่อจำเลยเป็นคู่สัญญากับกรุงเทพมหานคร ซึ่งนายประทิตกรรมการและหุ้นส่วนของจำเลยในขณะเกิดเหตุเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า ในกรณีที่หากมีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้นในงานที่ส่งมอบ ผู้ที่ต้องรับผิดต่อกรุงเทพมหานครคือจำเลย ซึ่งกรุงเทพมหานครก็ได้หักเงินเป็นค่าประกันผลงานไว้ 967,500 บาท เมื่อจำเลยให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินงานจึงเป็นธรรมดาที่จำเลยต้องให้โจทก์รับผิดชอบต่อจำเลยเช่นเดียวกับที่จำเลยต้องรับผิดชอบต่อกรุงเทพมหานคร พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่า รับฟังได้ว่า ระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อตกลงหักเงินที่จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์ไว้เป็นค่าประกันผลงานจริงและจำเลยได้หักเงินที่จะต้องชำระแก่โจทก์ไว้เป็นค่าประกันผลงานตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง โดยจะคืนให้แก่โจทก์เมื่อครบกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบงานงวดสุดท้ายแก่จำเลย ซึ่งโจทก์นำสืบโดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่นว่าโจทก์ส่งมอบสินค้าและการดำเนินงานงวดสุดท้ายแก่จำเลยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2541 สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะบังคับให้จำเลยชำระเงินค่าประกันผลงานดังกล่าวคืนแก่โจทก์ย่อมเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2543 เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2544 คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 5,000 บาท แทนโจทก์

Share