แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ครอบครองที่นาพิพาท 30 – 40 ปี อยู่ตำบลหนึ่ง จำเลยที่ 1, 2 อยู่อีกตำบลหนึ่งไม่เคยมาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทเลย โจทก์จำเลยที่ 1 ไปแจ้งว่าโฉนดที่พิพาทหายไป ขอใบแทน แล้วจำเลยที่ 1 รีบไปรับเอาใบแทนไปเสียก่อน แล้วจำเลยที่ 1,2 ทำรับมรดกและทำจำนองไม่เคยขอดูหลักฐานหนังสือสำคัญว่าที่ที่รับจำนองมีเนื้อที่เท่าใดมีชื่อใครเป็นเจ้าของผู้ครอบครองอยู่ และมิได้ตรวจดูสภาพของที่ที่รับจำนองก่อนว่าจะคุ้มกับจำนวนเงินหรือไม่ การกระทำของจำเลยที่ 1,2 เพื่อให้ได้มาซึ่งใบแทนโฉนด โอนรับมรดกเป็นไปในลักษณะช่วงชิงฉวยโอกาส และทำจำนองในวันเดียวกัน โดยพฤติการณ์และเหตุผลส่อแสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสามได้รู้เห็นร่วมกันมาตลอดเรื่อง อันเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต ทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทได้รับความเสียหาย ชอบที่ศาลจะเพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยทั้งสามเสียได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครอง โดยไม่ทราบว่าโฉนดที่ดินสูญหายไปเมื่อใด ปรากฏว่าที่พิพาทมีชื่อมารดาโจทก์จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โจทก์และจำเลยได้ไปแจ้งขอใบแทนโฉนด และจำเลยที่ ๑ ตกลงจะโอนโฉนดให้โจทก์ แต่แล้วจำเลยที่ ๑ และ ๒ กลับไปขอรับโอนมรดกและทำจำนองให้แก่จำเลยที่ ๓ ในวันเดียวกันนั้น เป็นการกระทำไม่สุจริตทำให้โจทก์ทั้ง ๒ ซึ่งอยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนเสียเปรียบ ขอให้ศาลเพิกถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองแทน และสั่งเพิกถอนการจำนองระหว่างจำเลยทั้งสาม
จำเลยที่ ๑,๒ ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ โจทก์ขอซื้อที่พิพาทจากจำเลย แต่เมื่อจำเลยไปขอรับเงินค่าที่ดิน โจทก์บิดพลิ้วจะโกงเอาที่พิพาท จำเลยที่ ๑,๒ มีความจำเป็นต้องใช้เงิน จึงจำนองที่พิพาทกับจำเลยที่ ๓ และได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑,๒ จำเลยที่ ๓ รับจำนองไว้โดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า รูปคดีเชื่อตามที่จำเลยนำสืบในฐานะที่จำเลยเป็นเจ้าของโฉนด จำเลยจึงได้รับข้อสันนิษฐานจากกฎหมายดีกว่าโจทก์ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทมาเป็นเวลา ๓๐-๔๐ ปี โดยจำเลยไม่เคยเกี่ยวข้อง โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ โจทก์จำเลยที่ ๑ ไปแจ้งเรื่องโฉนดหายและกำหนดที่จะรับใบแทน จำเลยไปช่วงชิงฉวยโอกาสไปรับใบแทนโฉนดและรับมรดกเสีย เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต การที่จำเลยทำจำนองต่อไปกับจำเลยที่ ๓ จึงเป็นการกระทำโดยทุจริต แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ ได้รับจำนองไว้โดยล่วงรู้ถึงความไม่สุจริตของจำเลยที่ ๑, ๒ พิพากษาแก้ว่าโจทก์ที่ ๑, ๒ เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ ๑, ๒ ออกจากโฉนด ใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองแทนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑,๒ ทำสัญญาจำนองโดยไม่สุจริต ส่วนจำเลยที่ ๒ ตามพฤติการณ์ปรากฏว่า จำเลยที่ ๑,๒ มากู้เงินจำเลยที่ ๓ เพียงครั้งเดียวก็ตกลงนัดวันไปทำสัญญาจำนองกันเลย ดูไม่สมเหตุผลพอที่จะเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำโดยบริสุทธิ์ใจ เพราะจำนวนเงินมาก จำเลยที่ ๓ ไม่สนใจที่จะขอดูหลักฐานว่าโฉนดมีชื่อใครเป็นเจ้าของ ผู้ใดครอบครองอยู่ ทั้งมิได้ตรวจดูสภาพของที่นาก่อนว่าจะคุ้มกับจำนวนเงินหรือไม่ ฐานะของจำเลยที่ ๑ ก็ไม่ควรที่จำเลยที่ ๓ จะเชื่อถือ การกู้เงินก็ไม่ปรากฏว่าได้พูดจาตกลงกันเรื่องผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยแต่กลับไปปรากฏในสัญญาจำนอง เมื่อปรากฏว่าการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งใบแทนโฉนด โอนรับมรดกเป็นไปในลักษณะช่วงชิงฉวยโอกาสและทำจำนองในวันนั้นเองแล้วโดยพฤติการณ์และเหตุผลส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามได้รู้เห็นร่วมกันมาตลอดเรื่องเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต ทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทได้รับความเสียหาย ชอบที่ศาลจะเพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยทั้งสามเสียได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้เพิกถอนสัญญาจำนองที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑, ๒ กับจำเลยที่ ๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.