คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 847/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนโดยเล่าเรื่องให้ฟังตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าบิดาโจทก์กับบิดาจำเลยเป็นความกันเรื่องทางเดิน จำเลยหาคนไปถ่ายภาพทางเดินนั้นเพื่อประกอบคดีในขณะที่โจทก์กับพวกกำลังเดินออกจากบ้านขณะที่ถ่ายภาพอยู่นั้น ได้มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จำเลยไม่เห็นคนยิง แต่เชื่อหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นผู้ยิง พนักงานสอบสวนได้สรุปข้อความตามคำแจ้งความ แล้วให้ตำรวจบันทักคำแจ้งความไว้ มีความตอนหนึ่งว่า โจทก์ใช้ปืนพกยิง จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีเจตนาจะยิงจำเลยให้ถึงแก่ความตาย ดังนี้เห็นได้ว่าจำเลยไปแจ้งความโดยเล่าเรื่องตามที่เกิดขึ้น ซึ่งมีเหตุการณ์ทำให้จำเลยเข้าใจเช่นนั้นได้ ข้อความที่บันทึกไว้นั้นก็เป็นข้อความที่พนักงานสอบสวนบอกให้เขียน ไม่ใช่ถ้อยคำที่จำเลยแจ้งโดยแท้จริง ทั้งมีพฤติการณ์ต่อมาแสดงว่าจำเลยมิได้เจตนาแกล้งเอาความเท็จไปกล่าวหาโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ นำความซึ่งรู้อยู่ว่าเป็นเท็จไปแจ้งกล่าวโทษโจทก์ต่อร้อยตำรวจตรีสงวนพนักงานสอบสวนเพื่อให้โจทก์รับโทษทางอาญาว่าโจทก์ได้ใช้ปืนพกยิงจำเลยที่ ๑ โดยเจตนาให้จำเลยที่ ๑ ถึงแก่ความตายกับได้ให้การต่อร้อยตำรวจตรีสงวนว่าโจทก์เป็นผู้ยิงจำเลยที่ ๑ เช่นเดียวกัน และจำเลยที่ ๑ ได้จ้างวานใช้จำเลยที่ ๒ ให้ให้การเท็จในเรื่องนี้ด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒.๑๗๓.๑๗๙,๑๘๑,๘๓,๘๔,๙๑
จำเลยให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๒ ลงโทษจำคุกและปรับ แต่โทษจำคุกให้รอไว้ ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๑๘๑(๒) และให้ลงโทษจำคุกไปทีเดียว
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ เสียด้วย
โจทก์ฎีกาต่อมาอีก
ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นญาติกัน บิดาโจทก์กับบิดาจำเลยที่ ๑ เป็นความกันที่ศาลแพ่งเรื่องขอให้เปิดทางเดิน วันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ นำจำเลยที่ ๒ ไปถ่ายภาพทางเดินพิพาท ในขณะที่โจทก์กับคนบ้านโจทก์กำลังเดินออกจากบ้าน ขณะที่ถ่ายภาพอยู่นั้นได้มีเสียงปืนหรือเสียงระเบิดคล้ายเสียงปืนดังขึ้น ๑ นัด แล้วจำเลยที่ ๑ ได้ไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโทสงวนพนักงานสอบสวนและพันตำรวจโทจำรัสผู้กำกับการตำรวจ โดยเล่าเรื่องให้ฟังว่าบิดาโจทก์กับบิดาจำเลยที่ ๑ เป็นความกันเรื่องทางเดิน จำเลยที่ ๑ ได้ให้จำเลยที่ ๒ไปถ่ายภาพเพื่อประกอบคดี ขณะถ่ายภาพอยู่นั้นเองได้มีเสียงปืนดังขึ้น ๑ นัด จำเลยที่ ๑ ไม่เห็นว่าใครเป็นคนยิง แต่เชื่อหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นผู้ยิง ร้อยตำรวจโทสงวนได้สรุปข้อความเอาตามที่จำเลยที่ ๑ แจ้งแล้วให้ตำรวจบันทึกไว้ในสมุดรายงานเบ็ดเสร็จประจำวัน มีข้อความตอนหนึ่งว่า “นายไพบูลย์ เนียมสมบุญ(โจทก์) ใช้ปืนพกยิง ผู้แจ้งเข้าใจว่านายไพบูลย์มีเจตนาจะยิงผู้แจ้งให้ถึงแก่ความตาย” แล้วตำรวจจึงไปค้นบ้านโจทก์ ยึดปืนพกของโจทก์และนำตัวโจทก์ไปดำเนินคดี ศาลฎีกาเห็นว่า ความจริงที่จำเลยที่ ๑
ไปแจ้งโดยเล่าเรื่องตามที่เกิดขึ้นให้นายตำรวจฟังตามความเข้าใจของจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีเหตุการณ์ทำให้จำเลยที่ ๑ เข้าใจเช่นนั้นได้ ส่วนข้อความที่เขียนไว้ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันนั้น เป็นข้อความซึ่งร้อยตำรวจโทสงวนสรุปเอาจากข้อความที่จำเลยที่ ๑ เล่าให้ฟัง แล้วให้ตำรวจบันทึกไว้ หาใช่ถ้อยคำที่จำเลยที่ ๑ แจ้งโดยแท้จริงไม่ และในวันนั้นเองจำเลยที่ ๑ ก็ให้การต่อพนักงานสอบสวน โดยมิได้ยืนยันเลยว่าได้เห็นโจทก์ยิง เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นว่ามิได้เจตนากลั่นแกล้งแสร้งเอาความเท็จไปกล่าวหาโจทก์ การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นผิด
พิพากษายืน

Share