แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้บังคับจำเลยที่ 2 ชำระแทน โจทก์จะต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เสียก่อน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินที่โจทก์จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ โจทก์จึงจะดำเนินการบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้
ในการทำสัญญากู้เงิน จำเลยที่ 1 ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักประกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้และการที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการยาก แต่โจทก์กลับนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ก่อนเป็นการข้ามการบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 2 ชอบที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 โดยให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 689 ได้ แม้โจทก์จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเนื่องจากยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 แล้วไม่มีการขาย และหากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จะต้องบังคับชำระหนี้โดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 อีกครั้งหนึ่งก็ตาม
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ผู้กู้ชำระเงินแก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้บังคับจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันชำระแทน กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้บังคับคดี ต่อมาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลยที่ ๒ เพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงิน ชำระหนี้โจทก์
จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ได้ระบุให้จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ยังมีทรัพย์สินที่โจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้ โจทก์ควรบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ก่อน ขอให้ถอนการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมและสอบถามคู่ความแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สิน ของจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ ๑ ยังมีทรัพย์สินที่โจทก์สามารถยึดมาบังคับคดีได้ การยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าวจึงไม่เป็นไปตามลำดับแห่งคำพิพากษา เป็นการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ให้เพิกถอนการ ยึดทรัพย์สินดังกล่าวของจำเลยที่ ๒ เสีย โดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกเก็บค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายตามกฎหมายด้วย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืน จำเลยทั้งสองมิได้แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไป ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ เป็นการข้ามการบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ให้บังคับจำเลยที่ ๒ ชำระแทน ซึ่งหมายความว่า กรณีที่จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ โจทก์จะต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ เสียก่อน หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหรือจำเลยที่ ๑ ไม่มีทรัพย์สินที่โจทก์จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ โจทก์จึงจะดำเนินการบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ได้ คดีนี้แม้จะปรากฏว่าจำเลยทั้งสอง ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ โจทก์ขอให้ออกคำบังคับแก่จำเลยทั้งสองแล้ว เมื่อครบกำหนดตามคำบังคับ จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำร้องของจำเลยที่ ๒ ว่า ในการทำสัญญากู้เงิน จำเลยที่ ๑ ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๒๘๖๖ ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักประกัน นอกจากนี้โจทก์ยังแถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ว่า โจทก์คาดว่าที่ดินและทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ที่มีอยู่หากยึดมาขายทอดตลาดแล้วน่าจะไม่เพียงพอแก่การชำระหนี้ตามคำพิพากษา จึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ยังมีทรัพย์ที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้และการที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ไม่เป็นการยาก แต่โจทก์ไม่นำพาที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ กลับนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ ก่อน จึงเป็นการข้ามการบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ ๒ ชอบที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ โดยให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๙ ได้ แม้ว่าโจทก์จะต้องเสียหายเพราะต้องเสีย ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเนื่องจากยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ แล้วไม่มีการขาย และหากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ ไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จะต้องบังคับชำระหรฃนี้โดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ อีกครั้งหนึ่งดังที่โจทก์ฎีกาก็ตาม ก็ไม่มี่เหตุที่จะนำคำสั่งเพียงให้งดการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ ไว้เท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ และศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ .