คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8445/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยส่งมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่สิบตำรวจโท ธ. เป็นการขาย จ่ายแจก แลกเปลี่ยนให้ ตามความหมายของคำว่า “จำหน่าย” ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ อันเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแล้ว แม้สิบตำรวจโท ธ. จะยังมิได้ชำระเงินให้แก่จำเลยตามที่ตกลงกันก็เป็นเพียงยังมิได้ชำระราคาค่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสอง (ที่ถูกมาตรา 15) 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยตลอดชีวิต คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกจำเลย 33 ปี 4 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยพร้อมยึดได้เมทแอมเฟตามีนจำนวน 20,000 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 463.612 กรัม และโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อโนเกียจำนวน 1 เครื่องเป็นของกลาง คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกสฤษฎ์พงศ์และสิบตำรวจโทธนวัฒน์ผู้ร่วมจับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่า เมื่อประมาณต้นเดือนธันวาคม 2543 พยานโจทก์ทั้งสองได้รับแจ้งจากสายลับว่า ที่บ้านหมู่ที่ 9 บ้านคลองเตย ตำบลคลองลานพัฒนา อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร มีสองสามีภรรยาคือจำเลยและนางเหมยเซ็งมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและมีการวางแผนจับกุมโดยวิธีล่อซื้อ ต่อมาวันที่ 6 ธันวาคม 2543 สายลับแจ้งให้ทราบว่า สายลับติดต่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยและนางเหมยเซ็งได้แล้วจำนวน 10 มัด ราคามัดละ 56,000 บาท เป็นเงิน 560,000 บาท หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมประมาณ 6 ถึง 7 คน จึงออกเดินทางไปที่บ้านคลองเตยพร้อมด้วยเงินที่ใช้ล่อซื้อ โดยมอบหมายให้สิบตำรวจโทธนวัฒน์ปลอมตัวเป็นคนซื้อเมทแอมเฟตามีนขับรถยนต์กระบะไปกับสายลับ โดยมีร้อยตำรวจเอกสฤษฎ์พงศ์กับเจ้าพนักงานตำรวจอื่นแอบซ่อนอยู่ที่กระบะหลังรถซึ่งเป็นกระบะซึ่งมีหลังคาและใช้ผ้าใบคลุมตัวไว้ สายลับให้สิบตำรวจโทธนวัฒน์จอดรถที่หน้าบ้านเลขที่ 69/12 แล้วสิบตำรวจโทธนวัฒน์และสายลับเข้าไปพูดคุยกับนางเหมยเซ็งเพื่อซื้อเมทแอมเฟตามีน นางเหมยเซ็งขอดูเงิน สิบตำรวจโทธนวัฒน์จึงเปิดกระเป๋าสะพายสีดำซึ่งใส่เงินไว้ให้นางเหมยเซ็งดู แล้วนางเหมยเซ็งบอกให้ไปดูตัวอย่างเมทแอมเฟตามีนและเดินนำหน้าไป สิบตำรวจโทธนวัฒน์กับสายลับขับรถยนต์กระบะตามไปจอดที่บ้านเลขที่ 17/19 ห่างจากบ้านเลขที่ 69/12 ประมาณ 300 เมตร นางเหมยเซ็งเดินเข้าไปในบ้านแล้วนำเมทแอมเฟตามีนเม็ดสีส้มกลมแบนจำนวน 4 ถึง 5 เม็ด ออกมาให้ดู สิบตำรวจโทธนวัฒน์ตรวจดูแล้วเชื่อว่าเป็นเมทแอมเฟตามีน นางเหมยเซ็งได้นัดหมายส่งมอบเมทแอมเฟตามีนทั้งหมดในวันรุ่งขึ้นเวลา 5 นาฬิกา ที่หน้าบ้านเลขที่ 69/12 วันรุ่งขึ้นสิบตำรวจโทธนวัฒน์ขับรถยนต์กระบะมีสายลับนั่งคู่ไปด้วย ส่วนร้อยตำรวจเอกสฤษฎ์พงศ์กับเจ้าพนักงานตำรวจอีกคนหนึ่งนอนแอบที่กระบะหลังรถโดยใช้ผ้าใบคลุมไว้ สำหรับเจ้าพนักงานตำรวจที่เหลือตามไปและสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ สิบตำรวจโทธนวัฒน์จอดรถอยู่ห่างจากบ้านเลขที่ 69/12 ประมาณ 10 เมตร แล้วเดินไปกับสายลับไปหาจำเลยและนางเหมยเซ็งที่หน้าบ้าน เห็นจำเลยถือถุงพลาสติกและโทรศัพท์มือถือในมือขวา นางเหมยเซ็งขอดูเงินอีกครั้ง แต่สิบตำรวจโทธนวัฒน์ขอดูเมทแอมเฟตามีนก่อน จำเลยจึงส่งถุงพลาสติกให้ เมื่อเปิดดูเห็นเมทแอมเฟตามีนเป็นมัดและตรวจสอบแล้วเป็นเมทแอมเฟตามีนจริง สิบตำรวจโทธนวัฒน์จึงใช้มือลูบศีรษะให้สัญญาณเข้าจับกุม ร้อยตำรวจเอกสฤษฎ์พงศ์กับพวกจึงเข้าจับกุมจำเลยและนางเหมยเซ็งซึ่งพยายามหลบหนี เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้คนเดียว ส่วนนางเหมยเซ็งวิ่งเข้าไปในป่าและหลบหนีไปได้ ชั้นจับกุมแจ้งข้อหาจำเลยว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย จำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมและบันทึกคำรับสารภาพ เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เห็นว่า สาเหตุที่พยานโจทก์ทั้งสองวางแผนจับกุมจำเลยโดยวิธีล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน ก็เนื่องมาจากได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยและนางเหมยเซ็งภรรยามีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและในวันที่ 6 ธันวาคม 2543 สายลับได้แจ้งให้ทราบว่าติดต่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยและนางเหมยเซ็งได้แล้ว พยานโจทก์ทั้งสองกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำอยู่ที่กรุงเทพมหานคร จึงพากันเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ พยานโจทก์ทั้งสองไม่เคยรู้จักหรือเกี่ยวข้องกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย เมื่อเข้าจับกุมก็สามารถจับกุมจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางซึ่งพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความยืนยันว่าจำเลยถือถุงพลาสติกซึ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีนยืนอยู่กับนางเหมยเซ็งภรรยา แม้พยานโจทก์ทั้งสองจะเบิกความแตกต่างกันไปบ้างในเรื่องถุงพลาสติกที่จำเลยถือ กับพฤติการณ์ก่อนส่งมอบเมทแอมเฟตามีนในเรื่องของการเปิดกระเป๋าใส่เงินให้จำเลยและนางเหมยเซ็งดู ข้อแตกต่างดังกล่าวล้วนเป็นรายละเอียดไม่ทำให้น้ำหนักคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองเสียไปจนไม่อาจรับฟังแต่ประการใด ที่จำเลยอ้างว่าพยานโจทก์ทั้งสองจับกุมนางเหมยเซ็งไม่ได้ จึงมาจับกุมจำเลยแทนนั้น เห็นว่า คงมีแต่คำเบิกความของจำเลยเพียงปากเดียว ไม่มีพยานอื่นมาสนับสนุน ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดคดีนี้ ซึ่งตามบันทึกคำให้การของจำเลยเอกสารหมาย ล.22 จำเลยให้การว่าเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2543 เวลาประมาณบ่ายโมง จำเลยได้ไปยิงนกในป่ากับเพื่อน ๆ และกลับมาถึงบ้านเวลา 2.40 นาฬิกา หลังจากนั้นจำเลยนอนหลับอยู่ในบ้านจนกระทั้งถูกจับกุม แต่จากคำเบิกความของหญิงจ่านเหมยพยานจำเลยได้ความว่า ในเย็นของวันที่จำเลยจะถูกจับกุมซึ่งหมายถึงตอนเย็นของวันที่ 6 ธันวาคม 2543 พยานเห็นจำเลยกับนางเหมยเซ็งทะเลาะกันถึงขั้นทำร้ายร่างกายแล้วจำเลยถือปืนลมออกจากบ้าน บอกว่าจะไปยิงนก และนางเหมยเซ็งได้หนีออกจากบ้านไป ส่วนจำเลยกลับเข้ามาทำลายทรัพย์สินภายในบ้าน แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้ออกไปยิงนกและหนูนาตามที่นำสืบต่อสู้ ทั้งการที่จำเลยมิได้ออกมาแสดงตัวเกี่ยวข้องด้วยในวันที่ 6 ธันวาคม 2543 ก็มิใช่ข้อที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้รู้เห็นในการกระทำความผิดในคดีนี้ตามที่จำเลยฎีกา เมื่อถูกจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 และจำเลยยังได้ทำบันทึกคำรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.2 อีกด้วย แม้คำรับสารภาพดังกล่าวจะเป็นพยานบอกเล่าซึ่งมีน้ำหนักน้อย แต่เมื่อรับฟังประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสอง ย่อมทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองมีน้ำหนักมากขึ้น นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจโทฉลอมพนักงานสอบสวนพยานโจทก์อีกว่า พยานได้รับมอบตัวจำเลยพร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนจำนวน 20,000 เม็ด และโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง เมทแอมเฟตามีนของกลางบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกมีฝาปิดเปิดได้ ถุงละประมาณ 200 เม็ด ซึ่งสอดคล้องกับบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.4 ที่ระบุว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางบรรจุในถุงพลาสติกสีฟ้าจำนวน 100 ถุง ซึ่งพยานได้ส่งเมทแอมเฟตามีนของกลางไปตรวจพิสูจน์ แม้ตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.3 จะมีข้อความระบุว่าได้ส่งของกลางบรรจุกล่องกระดาษสีเหลือง 1 กล่อง มิใช่บรรจุพลาสติกก็ตาม ก็อาจเป็นเรื่องการบรรจุหีบห่อใหม่เพื่อสะดวกในการส่งไปตรวจพิสูจน์ของพนักงานสอบสวน จึงไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเมทแอมเฟตามีนที่ส่งไปตรวจพิสูจน์นั้นจะมิใช่เมทแอมเฟตามีนของกลางตามที่จำเลยฎีกา พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางหรือไม่ เห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยส่งมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่สิบตำรวจโทธนวัฒน์ดังกล่าว เป็นการขาย จ่ายแจก แลกเปลี่ยน ให้ ตามความหมายของคำว่า “จำหน่าย” ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 อันเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแล้ว แม้สิบตำรวจโทธนวัฒน์จะยังมิได้ชำระเงินให้แก่จำเลยตามที่ตกลงกันก็เป็นเพียงยังมิได้ชำระราคาค่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยลงโทษจำเลยฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share