คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8439/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีมโนสาเร่มีบทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 189 ถึงมาตรา 196 บัญญัติเกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่ไว้โดยเฉพาะและถึงแม้จะไม่ได้มีบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดีใหม่ในคดีมโนสาเร่ แต่มาตรา 195 ก็ให้นำบทบัญญัติอื่นในประมวลกฎหมายนี้มาใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีมโนสาเร่ด้วย จึงนำมาตรา 199 ตรี อันเป็นเรื่องของการพิจารณาใหม่และมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขอพิจารณาคดีใหม่มาใช้กับคดีมโนสาเร่ได้ อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใด ห้ามมิให้จำเลยซึ่งแพ้คดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การในคดีมโนสาเร่ที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ ดังนั้น จำเลยทั้งสามจึงขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 100,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2549 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ก่อนสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นถามจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามแถลงไม่ประสงค์จะแต่งตั้งทนายความ ไม่ยื่นคำให้การและไม่ติดใจสืบพยานจำเลย ศาลชั้นต้นจึงพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว และจำเลยทั้งสามก็มิได้โต้แย้งคัดค้าน ทั้งยังลงลายมือชื่อรับทราบกระบวนพิจารณาในวันที่ 20 กรกฎาคม 2549 แล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีมโนสาเร่ บทบัญญัติแห่งกฎหมายในส่วนที่ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่มิได้ให้สิทธิจำเลยในการขอพิจารณาใหม่ จำเลยทั้งสามจึงขอพิจารณาใหม่ไม่ได้ พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมโนสาเร่มีบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 189 ถึงมาตรา 196 บัญญัติเกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่ไว้โดยเฉพาะและถึงแม้จะไม่ได้มีบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดีใหม่ในคดีมโนสาเร่ แต่มาตรา 195 ก็ให้นำบทบัญญัติอื่นในประมวลกฎหมายนี้มาใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีมโนสาเร่ด้วย จึงนำมาตรา 199 ตรี อันเป็นเรื่องของการขอพิจารณาคดีใหม่และมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขอพิจารณาคดีใหม่มาใช้กับคดีมโนสาเร่ได้อีก ทั้งไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้จำเลยซึ่งแพ้คดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การในคดีมโนสาเร่ที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ ดังนั้น จำเลยทั้งสามจึงขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ส่วนกรณีจะมีเหตุอันสมควรอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่หรือไม่นั้น เมื่อคดีนี้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยใหม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันสืบพยานจำเลยทั้งสามได้มาศาล ศาลก็ได้สอบถามแล้วแต่จำเลยทั้งสามไม่ประสงค์ที่จะแต่งตั้งทนายความไม่ยื่นคำให้การและไม่ติดใจสืบพยานจำเลย ศาลชั้นต้นจึงดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและถือว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การจากพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยทั้งสามจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ กรณีจึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ อีกทั้งการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าวชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จำเลยทั้งสามจะขอให้เพิกถอน ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share