คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8426/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คดีที่พนักงานอัยการฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท จำเลยที่ 1 จะได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ แต่ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ต่อศาลชั้นต้น มีผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ลุแก่โทษต่อศาลเช่นเดียวกับการถอนฟ้อง ตาม ป.อ. มาตรา 176 ย่อมได้รับประโยชน์ตามบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 91, 157, 162, 172, 174, 175, 177, 180
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 174 วรรคสอง, 175, 177 วรรคสอง, 180 วรรคสอง การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนและฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อจะแกล้งให้บุคคลต้องรับโทษ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อจะแกล้งให้บุคคลต้องรับโทษอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 จำคุก 2 ปี ฐานเอาความเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา จำคุก 2 ปี ฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา จำคุก 3 ปี และฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา จำคุก 2 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 9 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง และ 180 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานเบิกความเท็จตามมาตรา 177 วรรคสอง แต่บทเดียวตามมาตรา 90 จำคุก 3 เดือน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตามมาตรา 174 วรรคสอง จำคุก 3 เดือน และฐานฟ้องเท็จตามมาตรา 175 จำคุก 3 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีเหตุลงโทษจำเลยที่ 1 ในสถานหนัก และฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า มีเหตุรอการลงโทษจำคุกหรือรอการกำหนดโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นเจ้าหน้าที่ของบ้านเมือง ต้องปฏิบัติหน้าที่และประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ชาวบ้าน แต่จำเลยที่ 1 กลับมากระทำความผิดเสียเอง โดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนเพื่อที่จะกลั่นแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษ เมื่อพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ตามที่จำเลยที่ 1 แจ้งข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1 ยังเข้าร่วมเป็นโจทก์และเบิกความเท็จกับนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอีก การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวก่อให้เกิดความเดือดร้อนและความเสียหายแก่โจทก์ที่ต้องถูกดำเนินคดีอาญา พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ไม่สมควรรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษให้ แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงมูลเหตุที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดแล้ว เชื่อว่า เป็นกรณีสืบเนื่องจากโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างกล่าวหากันเกี่ยวกับผลประโยชน์จากการทำหน้าที่บริหารท้องถิ่น และโจทก์เคยร้องเรียนจำเลยที่ 1 ต่อนายอำเภอม่วงสามสิบว่าจำเลยที่ 1 ทุจริตในการเลือกตั้ง อีกทั้งโจทก์ร้องเรียนจำเลยที่ 1 เรื่องอื่นอีกประมาณ 5 เรื่อง แต่เมื่อนายอำเภอม่วงสามสิบตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่าข้อที่โจทก์ร้องเรียนจำเลยที่ 1 ทุกเรื่องไม่มีมูล แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีความประพฤติดีอยู่บ้าง จึงไม่สมควรลงโทษสถานหนัก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วางโทษจำเลยที่ 1 ฐานเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญา และฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อจะแกล้งให้บุคคลต้องรับโทษ กระทงละ 3 เดือน โดยไม่รอการลงโทษนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ส่วนความผิดฐานเอาความเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา เห็นว่า แม้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2028/2555 หมายเลขแดงที่ 597/2555 ของศาลชั้นต้น ที่พนักงานอัยการฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท จำเลยที่ 1 จะได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ แต่ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ต่อศาลชั้นต้น มีผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดี จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ลุแก่โทษต่อศาลเช่นเดียวกับการถอนฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 176 จำเลยที่ 1 ย่อมได้รับประโยชน์ตามบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้หรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได้ เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีและการที่จำเลยที่ 1 ลุแก่โทษต่อศาลแล้ว เห็นควรกำหนดโทษจำเลยที่ 1 ข้อหานี้สถานเบา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วางโทษจำคุก 3 เดือน หนักเกินไป เห็นสมควรวางโทษใหม่ให้เหมาะสม ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเอาความเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา จำคุก 1 เดือน รวมกับโทษในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อจะแกล้งให้บุคคลต้องรับโทษและฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้ว เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share