คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 801/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กับพวก กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 282 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6, 52 ประกอบ ป.อ. มาตรา 83 เมื่อผู้เสียหายทั้งสิบเจ็ดเป็นบุคคลสัญชาติลาวถูกชักชวนให้มาทำการค้าประเวณีในประเทศไทยโดยจำเลยที่ 1 กับพวกรวมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปร่วมกันโดยแบ่งหน้าที่กันทำ โดยเฉพาะชักชวนผู้เสียหายบางคนไปทำการค้าประเวณี พาผู้เสียหายดังกล่าวจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมายังประเทศไทย แล้วพาไปที่ร้านคาราโอเกะเพื่อทำการค้าประเวณี โดยมี ห. พวกของจำเลยที่ 1 ได้รับส่วนแบ่งจากการค้าประเวณี จึงเป็นองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดในเขตแดนรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ และเป็นความผิดที่กระทำในประเทศไทยตั้งแต่การตระเตรียม การวางแผน การสั่งการ การสนับสนุน ได้กระทำในรัฐอีกรัฐหนึ่ง จึงเข้าลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 3

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 4, 6, 9, 10, 35, 52 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 3, 5, 7, 25 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 4, 9, 12 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 90, 91, 282, 283 ริบถุงยางอนามัยและสมุดบัญชีรายการทำงานของพนักงานในร้านของกลาง และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 9 จำนวน 586,300 บาท ผู้เสียหายที่ 3 จำนวน 517,300 บาท ผู้เสียหายที่ 13 จำนวน 282,000 บาท ผู้เสียหายที่ 10 จำนวน 464,200 บาท ผู้เสียหายที่ 14 จำนวน 325,000 บาท ผู้เสียหายที่ 4 จำนวน 456,000 บาท
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จำเลยที่ 3 ขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 (1) (2), 9 วรรคหนึ่ง, 10 วรรคหนึ่ง, 52 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 5 (2), 7, 25 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสอง พระราชบัญญัติป้องกันและปรามปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสอง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 (1) (2), 9 วรรคหนึ่ง, 10 วรรคหนึ่ง, 52 วรรคสอง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 5, (2), 7, 25 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยกระทำแก่บุคคลอายุตั้งแต่สิบแปดปี กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ไม่ถึงสิบแปดปี กระทำแก่บุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี และฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 25 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 4 ปี ฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิง โดยกระทำแก่บุคคลอายุเกินกว่าสิบแปดปี กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี กระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปซึ่งบุคคลเพื่อให้กระทำการค้าประเวณี โดยกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบแปดปี กระทำแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี กระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ฐานร่วมกันค้ามนุษย์โดยได้กระทำร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปหรือโดยสมาชิกขององค์กรอาชญากรรมโดยกระทำแก่บุคคลอายุตั้งแต่สิบแปดปี กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ไม่ถึงสิบแปดปี กระทำแก่บุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันค้ามนุษย์โดยได้กระทำร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปหรือโดยสมาชิกขององค์กรอาชญากรรมโดยกระทำแก่บุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 52 วรรคสาม ประกอบมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 12 ปี ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ไม่ถึงสิบแปดปี และฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 25 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 4 ปี ฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหาล่อไป หรือชักพาไปซึ่งบุคคลเพื่อให้กระทำการค้าประเวณี โดยกระทำแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ฐานร่วมกันค้ามนุษย์โดยได้กระทำร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปหรือโดยสมาชิกขององค์กรอาชญากรรม โดยกระทำแก่บุคคลเกินสิบห้าปีแต่ไม่ถึงสิบแปดปี เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันค้ามนุษย์โดยได้กระทำร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปหรือโดยสมาชิกองค์กรอาชญากรรมโดยกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ไม่ถึงสิบแปดปี ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 52 วรรคสอง ประกอบมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 9 ปี จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพหลังจากสืบพยานโจทก์ไปแล้วบางส่วนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 3 กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 16 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 6 ปี 6 เดือน ริบถุงยางอนามัย และสมุดบัญชีรายการทำงานของพนักงานของกลาง คืนกระเป๋าถือคาดเอวของกลางแก่เจ้าของ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อหาร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิง โดยกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบแปดปี กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี กระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด ข้อหาร่วมกันเป็นธุระจัดหาล่อไป หรือชักพาไปซึ่งบุคคลเพื่อให้กระทำการค้าประเวณีโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ ข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง กระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายหรือทำร้ายร่างกาย หรือขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ ว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้อื่นเพื่อข่มขืนใจให้ผู้อื่นนั้นกระทำการค้าประเวณี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ในข้อหาร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิง โดยกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบแปดปีกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ข้อหาร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบแปดปี กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี กระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้ายใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด ข้อหาร่วมกันเป็นธุระจัดหาล่อไป หรือชักพาไปซึ่งบุคคลเพื่อให้กระทำการค้าประเวณี โดยกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบแปดปี กระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ข้อหาค้ามนุษย์โดยได้กระทำร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปหรือโดยสมาชิกองค์กรอาชญากรรมโดยกระทำแก่บุคคลอายุตั้งแต่สิบแปดปี กระทำแก่บุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี และข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง กระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายหรือทำร้ายร่างกาย หรือขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ ว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้อื่นเพื่อข่มขืนใจให้ผู้อื่นนั้นกระทำการค้าประเวณี ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 3 จำนวน 60,000 บาท ผู้เสียหายที่ 4 จำนวน 60,000 บาท ผู้เสียหายที่ 9 จำนวน 60,000 บาท ผู้เสียหายที่ 10 จำนวน 60,000 บาท ผู้เสียหายที่ 13 จำนวน 60,000 บาท และผู้เสียหายที่ 14 จำนวน 60,000 บาท ยกฟ้องโจทก์ในคดีส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสอง วรรคสาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสอง วรรคสาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 (1) (2), 9 วรรคหนึ่ง, 10 วรรคหนึ่ง, 52 วรรคสอง วรรคสาม โทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุ มีกลุ่มบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป ร่วมกันสมคบหลอกลวงหรือชักจูงผู้เสียหายทั้งสิบเจ็ดเป็นคนสัญชาติลาว มีภูมิลำเนาอยู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 อายุเกินกว่าสิบแปดปี ผู้เสียหายที่ 3 ถึงที่ 8 อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี และผู้เสียหายที่ 9 ถึงที่ 17 อายุยังไม่เกินสิบห้าปี ให้ผู้เสียหายทั้งสิบเจ็ดเดินทางจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้ามาในประเทศไทย โดยผู้เสียหายที่ 1 นั่งรถยนต์จากแขวงเวียงจันทน์เข้ามาที่จังหวัดหนองคาย ผู้เสียหายที่ 3 โดยสารเรือหางยาวเข้ามาที่จังหวัดเลย ส่วนผู้เสียหายที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 17 โดยสารเรือหางยาวเข้ามาที่จังหวัดหนองคาย จากนั้นผู้เสียหายทั้งสิบเจ็ดเดินทางโดยรถโดยสารมาทำงานและพักอาศัยอยู่ที่ร้านน้องฟิวส์คาราโอเกะ ตำบลสามง่าม อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม โดยในระหว่างการเดินทางจะมีผู้มาคอยรับคอยส่งตามจุดต่างๆ จากนั้นผู้เสียหายทั้งสิบเจ็ดทำการค้าประเวณีที่ร้านดังกล่าว ต่อมาวันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 พันตำรวจตรี พิษณุ รองสารวัตรกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์กับพวก พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิปวีณา เข้าทำการตรวจค้นร้านน้องฟิวส์คาราโอเกะ จับกุมนายสุทิน มาดำเนินคดีข้อหาค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณี โดยกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปี แต่ไม่ถึงสิบแปดปี เนื่องจากเหตุคดีส่วนหนึ่งเกิดนอกราชอาณาจักร อัยการสูงสุดมอบหมายให้ผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ และมอบหมายให้พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ร่วมทำการสอบสวนกับพนักงานอัยการ ต่อมาคณะพนักงานสอบสวนขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยทั้งสาม นายเหวียน เจ้าของร้านน้องฟิวส์คาราโอเกะ นางสาวเมทินีหรือเจี๊ยบและนายนิรันดร์หรือมน กับพวกซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดคดีนี้ และจับกุมจำเลยทั้งสามมาดำเนินคดี
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวก เข้าลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้เสียหายที่จำเลยที่ 1 เกี่ยวข้องในการจัดการให้เดินทางไปร้านน้องฟิวส์คาราโอเกะจะสมัครใจไปทำการค้าประเวณี การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวก ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6, 52 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เมื่อผู้เสียหายทั้งสิบเจ็ดเป็นบุคคลสัญชาติลาวและถูกชักชวนให้มาทำการค้าประเวณีในประเทศไทย โดยจำเลยที่ 1 กับพวกรวมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ร่วมกันโดยแบ่งหน้าที่กันทำโดยเฉพาะชักชวนผู้เสียหายบางคนไปทำการค้าประเวณี พาผู้เสียหายดังกล่าวจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมายังประเทศไทย แล้วพาไปร้านน้องฟิวส์คาราโอเกะเพื่อทำการค้าประเวณี โดยนายเหวียนพวกของจำเลยที่ 1 ได้รับส่วนแบ่งจากการค้าประเวณี จึงเป็นองค์กรอาชญากรรมที่กระทำผิดในเขตแดนรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐและเป็นความผิดที่กระทำในประเทศไทยตั้งแต่การตระเตรียม การวางแผน การสั่งการ การสนับสนุน ได้กระทำในรัฐอีกรัฐหนึ่ง จึงเข้าลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 3 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน

Share