คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8422/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ร้องที่ 1 อยู่ในอำนาจปกครองดูแลของผู้ร้องที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา แม้ผู้ร้องที่ 2 บอกให้ผู้ร้องที่ 1 เดินทางกลับบ้านพักด้วยตนเองตามลำพัง ผู้ร้องที่ 1 ก็ยังอยู่ในความปกครองของผู้ร้องที่ 2 ตลอดเวลา การที่จำเลยดึงแขนผู้ร้องที่ 1 แล้วพาเข้าไปป่าละเมาะเพื่อล่วงเกินทางเพศผู้ร้องที่ 1 ผู้ร้องที่ 2 ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจหรือยินยอมให้จำเลยพาผู้ร้องที่ 1 เข้าไปที่ป่าละเมาะแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพาผู้ร้องที่ 1 ออกไปหรือแยกไปจากผู้ปกครองดูแลของผู้ร้องที่ 1 โดยปราศจากเหตุอันสมควร อันทำให้อำนาจปกครองดูแลของผู้ร้องที่ 2 ที่มีต่อผู้ร้องที่ 1 ถูกรบกวนหรือกระทบกระเทือน ผู้ร้องที่ 2 ย่อมได้รับความเสียหาย จำเลยจึงมีความผิดพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจาก บิดา มารดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร ผู้ร้องที่ 2 จึงมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำร้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 91, 277, 279, 317 และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีดังกล่าวเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ระหว่างพิจารณา เด็กหญิง ว. ผู้เสียหายที่ 1 นาง ป. ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ต้องเสียหายแก่ร่างกายและเสรีภาพเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหายทั้งสอง
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม, 279 วรรคสอง, 317 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี กับฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 12 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 6 ปี รวมจำคุก 18 ปี บวกโทษจำคุก 1 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4549/2558 ของศาลแขวงสมุทรปราการ เข้ากับโทษในคดีนี้ เป็นจำคุก 18 ปี 1 เดือน และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 70,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 เมษายน 2559 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 ส่วนโทษในความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีนั้น ให้ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 ปี บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้แล้วเป็นจำคุก 8 ปี 1 เดือน ยกคำร้องคดีส่วนแพ่งของผู้ร้องที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ยุติตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองและที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุเด็กหญิง ว. ผู้ร้องที่ 1 อายุ 10 ปีเศษ เป็นบุตรของนางสาว ป. ผู้ร้องที่ 2 กับนาย ย. วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 และนาย ธ. ซึ่งเป็นบุตรของผู้ร้องที่ 2 และเป็นพี่ชายของผู้ร้องที่ 1 เดินทางไปที่เถียงของตน หลังจากทุกคนรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ผู้ร้องที่ 2 บอกให้ผู้ร้องที่ 1 กลับไปบ้านพักก่อน ผู้ร้องที่ 1 ขี่รถจักรยานไปตามถนน มาถึงที่เกิดเหตุผู้ร้องที่ 1 จอดรถเพื่อรอมารดากับพี่ชายที่กำลังจะตามมา ขณะเดียวกันจำเลยขับรถจักรยานยนต์สวนทางมาพบผู้ร้องที่ 1 จอดรถอยู่ข้างทาง จำเลยเข้ามาสอบถามเส้นทาง แล้วขับรถเลยไปสักครู่จำเลยขับรถวกกลับมาจอดขวางหน้ารถจักรยานของผู้ร้องที่ 1 ไว้ จากนั้นจำเลยได้ล้วงจับอวัยวะเพศของผู้ร้องที่ 1 พร้อมบอกให้ผู้ร้องที่ 1 ยืนรออยู่ จำเลยจูงรถจักรยานของผู้ร้องที่ 1 ไปไว้ที่ป่าละเมาะข้างทางแล้วดึงแขนผู้ร้องที่ 1 เข้าไปในป่าละเมาะใกล้ ๆ กัน จำเลยใช้กำลังบังคับกระทำชำเราผู้ร้องที่ 1 จนสำเร็จความใคร่ เมื่อผู้ร้องที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ ส่วนนาย ธ. ขี่รถจักรยานออกจากเถียงเพื่อกลับบ้านใกล้ถึงที่เกิดเหตุ จำเลยได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์จึงรีบลุกขึ้นสวมกางเกงแล้วขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยมาดำเนินคดีนี้ สำหรับความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีกับฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายนั้น ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยโดยคู่ความไม่ได้โต้แย้ง ข้อเท็จจริงตามข้อหาทั้งสองฐานดังกล่าวจึงยุติไปแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา หรือผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุผู้ร้องที่ 1 เป็นผู้เยาว์ พักอาศัยอยู่กับบิดามารดาซึ่งเป็นคนเลี้ยงดูและส่งเสียค่าเล่าเรียน ผู้ร้องที่ 1 จึงอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของผู้ร้องที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาตามกฎหมาย แม้ผู้ร้องที่ 2 บอกให้ผู้ร้องที่ 1 เดินทางกลับบ้านพักไปด้วยตนเองตามลำพัง แต่ผู้ร้องที่ 1 ก็ยังอยู่ในความปกครองดูแลของผู้ร้องที่ 2 โดยตลอดเวลา การที่จำเลยดึงแขนผู้ร้องที่ 1 แล้วพาเข้าไปในป่าละเมาะก็เพื่อเจตนาล่วงเกินทางเพศต่อผู้ร้องที่ 1 ไม่ต้องการให้ผู้ร้องที่ 2 หรือผู้ที่สัญจรผ่านไปมาพบเห็น ผู้ร้องที่ 2 ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจหรือยอมให้จำเลยพาผู้ร้องที่ 1 เข้าไปที่ป่าละเมาะแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพาผู้ร้องที่ 1 ออกไปหรือแยกไปจากผู้ปกครองดูแลของผู้ร้องที่ 1 โดยปราศจากเหตุอันสมควร ทำให้อำนาจปกครองดูแลของผู้ร้องที่ 2 ที่มีแก่ผู้ร้องที่ 1 ถูกรบกวนหรือกระทบกระเทือน ผู้ร้องที่ 2 ย่อมได้รับความเสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควร เพื่อการอนาจารตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ผู้ร้องที่ 2 มีสิทธิขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำร้องได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำคุก 6 ปี ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี เมื่อรวมกับโทษความผิดฐานอื่นแล้ว เป็นจำคุก 12 ปี บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้คงจำคุก 12 ปี 1 เดือน ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 เมษายน 2559 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share