คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5053/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติม คือ พันตำรวจเอก ส. และ พันตำรวจตรี ป.หลังจากสืบพยานโจทก์ไปแล้ว โดยอ้างเหตุว่า เพิ่งจะทราบจากคำพยานคือร้อยตำรวจเอก ฐ.และจ่าสิบตำรวจ จ.ที่โจทก์ส่งประเด็นไปสืบว่า พันตำรวจเอก ส.และพันตำรวจตรี ป.กับพวกเป็นผู้สกัดจับจำเลยทั้งสามได้ ส่วนร้อยตำรวจเอก ฐ.และจ่าสิบตำรวจ จ. เป็นเพียงผู้ติดตามเข้าสมทบในการจับกุมจำเลยทั้งสามภายหลังย่อมถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรอื่นใดที่โจทก์จะระบุพันตำรวจเอก ส. และพันตำรวจตรี ป.เป็นพยานเพิ่มเติมได้แม้จะพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้ว ประกอบกับพยานทั้งสองไม่ใช่พยานคู่กับร้อยตำรวจเอก ฐ.และจ่าสิบตำรวจ จ. ที่ได้เบิกความไปแล้ว จำเลยที่ 2และที่ 3 มีโอกาสที่จะถามค้านและนำสืบหักล้างพยานทั้งสองนี้ได้อย่างเต็มที่ จึงไม่ทำให้จำเลยที่ 2 และที่ 3เสียเปรียบแต่อย่างใด และเนื่องจากพยานทั้งสองเป็นพยานสำคัญ การที่จะวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรมจึงต้องสืบพยานทั้งสอง การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคท้าย ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244, 247, 83, 32, 33 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244 ประกอบมาตรา 247, 83 จำคุกคนละ 3 ปีจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสามคงจำคุกคนละ 2 ปี ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาต ให้จำหน่ายคดีจำเลยที่ 1 เสียจากสารบบความ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3ในปัญหาข้อกฎหมายเพียงประเด็นเดียวว่าการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมตามคำร้องขอระบุพยานที่เพิ่มเติมลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เรื่องการยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 บัญญัติไว้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะที่โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติม กำหนดให้คู่ความยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน และหากจะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมให้ยื่นก่อนระยะเวลาดังกล่าวสิ้นสุดลง หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวคู่ความฝ่ายใดประสงค์ที่จะระบุพยานเพิ่มเติมจะต้องขออนุญาตต่อศาล โดยอ้างเหตุอันสมควรแสดงได้ว่าตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตนหรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด และถ้าศาลเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง สำหรับคดีนี้ โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมคือพันตำรวจเอกเสกสันต์ อุ่นเจริญ และพันตำรวจตรีประวิทย์ ขออาพัด หลังจากสืบพยานโจทก์ไปแล้วโดยอ้างเหตุว่า เพิ่งจะทราบจากคำพยานคือร้อยตำรวจเอกปฐมพงษ์ เพชรพิรุณ และจ่าสิบตำรวจจตุพงษ์ หงษ์กาญจนพงษ์ ที่โจทก์ส่งประเด็นไปสืบว่าผู้ที่ทำการจับกุมจำเลยทั้งสามในตอนแรกคือพยานทั้งสองนี้ แม้ตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.4 จะระบุไว้แล้วว่าพยานทั้งสองนี้เป็นผู้ร่วมจับกุมอยู่ด้วยแต่ในบันทึกการจับกุมดังกล่าวมีเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมถึง 22 คน ซึ่งตามปกติย่อมไม่มีความจำเป็นที่โจทก์จะต้องอ้างบุคคลเหล่านี้เป็นพยานทั้งหมดประกอบกับในสำนวนการสอบสวนและบันทึกการจับกุมไม่ได้ระบุรายละเอียดในการติดตามจับกุมจำเลยทั้งสามของผู้จับไว้ โจทก์ย่อมเข้าใจว่าการอ้างร้อยตำรวจเอกปฐมพงษ์และจ่าสิบตำรวจจตุพงษ์ เจ้าพนักงานตำรวจกองปราบปรามซึ่งเป็นผู้ร่วมสืบสวนและติดตามจับกุมจำเลยทั้งสามมาตั้งแต่ต้น เป็นพยานก็น่าจะเพียงพอแล้วแต่เมื่อส่งประเด็นไปสืบพยานทั้งสองปากนี้แล้วได้ความว่า พันตำรวจเอกเสกสันต์และพันตำรวจตรีประวิทย์กับพวกเป็นผู้สกัดจับจำเลยทั้งสามได้ ส่วนร้อยตำรวจเอกปฐมพงษ์และจ่าสิบตำรวจจตุพงษ์เป็นเพียงผู้ติดตามเข้าสมทบในการจับกุมจำเลยทั้งสามภายหลัง ย่อมถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรอื่นใดที่โจทก์ระบุพันตำรวจเอกเสกสันต์และพันตำรวจตรีประวิทย์เป็นพยานเพิ่มเติมได้แม้จะพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้ว ประกอบกับพยานทั้งสองปากนี้ไม่ใช่พยานคู่กับร้อยตำรวจเอกปฐมพงษ์และจ่าสิบตำรวจจตุพงษ์ที่ได้เบิกความไปแล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีโอกาสที่จะถามค้านและนำสืบหักล้างพยานทั้งสองปากนี้ได้อย่างเต็มที่จึงหาทำให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เสียเปรียบแต่อย่างใดไม่ และเนื่องจากพยานทั้งสองปากนี้เป็นพยานสำคัญ การที่จะวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรมจึงต้องสืบพยานทั้งสองปากนี้ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคท้าย ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share