แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์จำเลยตามคำฟ้องในคดีนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังโจทก์และจำเลยตกลงแบ่งแยกที่ดินเป็นสัดส่วนกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดในคดีก่อนที่ให้โจทก์และจำเลยมีสิทธิในที่ดินคนละครึ่งของจำนวนเนื้อที่ดินทั้งหมดทั้งแปลง ส่วนจะเป็นทางทิศใดจะไปตกลงกันในภายหลัง ทั้งคำขอบังคับในคดีนี้ก็ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในที่ดินส่วนที่แบ่งแยกเป็นของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว แตกต่างกับคำขอบังคับในคดีก่อนที่ขอให้บังคับจำเลยใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดิน คำฟ้องของโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนมิใช่เรื่องเดียวกันและเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2536 โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 586/2536 ของศาลชั้นต้น จำเลยยินยอมใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ 925 ตำบลกุดโบสถ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา โดยให้สิทธิในที่ดินดังกล่าว โจทก์และจำเลยมีสิทธิคนละครึ่งของจำนวนเนื้อที่ดินทั้งหมดทั้งแปลง ส่วนจะเป็นทิศใดนั้นจะไปตกลงกันในภายหลัง โดยจำเลยยินยอมจะไปดำเนินการทางทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ร่วมในที่ดินภายใน 15 วัน หลังจากไถ่ถอนจำนองเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจทก์และจำเลยได้แบ่งแยกการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเป็นสัดส่วนคนละครึ่ง โดยโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ทิศตะวันตกตั้งแต่ทิศเหนือจดทิศใต้เต็มแปลงเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ 19 ตารางวา และไม่มีผู้ใดคัดค้าน ต่อมาเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2541 จำเลยและบริวารบุกรุกเข้าไปไถหว่านปลูกข้าวในที่ดินของโจทก์ดังกล่าวเต็มแปลง โจทก์ห้ามปรามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถเข้าไปทำนาในที่ดินของโจทก์ และวันที่ 26 มิถุนายน 2541 โจทก์ตรวจสอบจากสารบบที่ดินดังกล่าวจึงทราบว่าจำเลยได้ไถ่ถอนจำนองแล้วตั้งแต่ปี 2537 แล้วได้โอนขายที่ดินส่วนของตนให้แก่นางสาวสมพรเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2541 ขอให้บังคับรื้อถอนขนย้ายต้นข้าวออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินไร่ละ 1,000 บาท ต่อปี พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดเลขที่ 925 ตำบลกุดโบสถ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมาอีกต่อไป ให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวแล้วส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยให้การว่า จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ตามคำฟ้อง โดยสัญญายอมระบุไว้ว่าจำเลยจะใส่ชื่อโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทก็ต่อเมื่อมีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์และบุคคลดังกล่าวต้องเป็นบุตรของนายเล่เท่านั้น ก่อนการแบ่งแยกที่ดินพิพาทโอนขายให้แก่บุคคลภายนอกโจทก์รู้ถึงการกระทำดังกล่าวแต่เพิกเฉย จำเลยและบริวารมีสิทธิเข้าไปในที่ดินพิพาทโดยสุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายหรือหากมีก็ไม่เกินไร่ละ 200 บาท ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 925 ตำบลกุดโบสถ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา ให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทและใช้ค่าเสียหายอัตราไร่ละ 1,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 925 ตำบลกุดโบสถ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ในข้อกฎหมายประการเดียวว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 586/2536 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีก่อนโจทก์ฟ้องให้บังคับจำเลยโอนใส่ชื่อโจทก์ในที่ดินเลขที่ 925 ตำบลกุดโบสถ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยตกลงใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ 925 ตำบลกุดโบสถ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา โดยให้สิทธิในที่ดินดังกล่าว โจทก์และจำเลยมีสิทธิคนละครึ่งของจำนวนเนื้อที่ดินทั้งหมดทั้งแปลง ส่วนจะเป็นทางทิศใดนั้นจะไปตกลงกันในภายหลัง ในการใส่ชื่อมีกรรมสิทธิ์ร่วมในส่วนที่เป็นของโจทก์นั้นเพื่อจะเก็บไว้ให้แก่บุตรนายเล่ เมื่อบุตรนายเล่กลับมา โดยจำเลยยินยอมจะไปดำเนินทางทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ร่วมในที่ดินภายใน 15 วัน หลังจากไถ่ถอนจำนองเสร็จแล้วโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดๆ จากจำเลยอีก ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 586/2536 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุด ส่วนคดีนี้ตามฟ้องของโจทก์ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า ภายหลังโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนแล้ว โจทก์และจำเลยได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 925 ออกเป็นสัดส่วนกัน โดยส่วนของโจทก์อยู่ทางด้านทิศตะวันตกตั้งแต่ทิศเหนือจดใต้เต็มแปลงอันเป็นส่วนที่เหลือตามโฉนดเลขที่ 925 สำหรับส่วนของจำเลยที่แบ่งแยกไปนั้น จำเลยได้ขายในให้แก่นางสาวสมพรไปเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2541 ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 1933 ตามที่โจทก์และจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกัน ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 31 มกราคม 2545 ของศาลชั้นต้น แต่จำเลยและบริวารกลับบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทของโจทก์ และมีคำขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนต้นข้าวและออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท แม้คำฟ้องของโจทก์คดีนี้จะยกข้ออ้างสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนก็ตาม แต่ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์จำเลยในคดีนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังโจทก์และจำเลยตกลงแบ่งแยกที่ดินเป็นสัดส่วนกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนที่ให้โจทก์และจำเลยมีสิทธิในที่ดินดังกล่าวคนละครึ่งของจำนวนเนื้อที่ดินทั้งหมดทั้งแปลง ส่วนจะเป็นทางทิศใดนั้นจะไปตกลงกันในภายหลัง ทั้งคำขอบังคับของโจทก์ในคดีนี้ก็ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทส่วนที่แบ่งแยกเป็นของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว แตกต่างกับคำขอบังคับของโจทก์ในคดีก่อนที่ขอให้บังคับจำเลยใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดิน คำฟ้องของโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนมิใช่เรื่องเดียวกันกับคดีก่อนและเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำอันต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ