คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8418/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ว. มิได้มีรายชื่อเป็นกรรมการของโจทก์ ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างในหนังสือสัญญาซื้อขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง และประทับตราสำคัญของโจทก์ในช่องผู้ขายแทนโจทก์เพียงผู้เดียว โดยไม่ปรากฏว่า ว. มีสิทธิหรืออำนาจอันใดที่จะลงลายมือชื่อในสัญญาฉบับนั้นแทนโจทก์ได้ จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีสิทธิและโดยปราศจากอำนาจ โจทก์จึงไม่ใช่คู่สัญญาของจำเลยแม้โจทก์จะนำสืบว่า โจทก์ได้ส่งมอบวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ให้แก่จำเลย และจำเลยได้รับสินค้าแล้วตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 โดย ป. ลงลายมือชื่อในช่องผู้ขายผู้ส่งมอบวัสดุแทนโจทก์ เมื่อปรากฏว่าป.เป็นพนักงานของบริษัทอื่น มิได้เป็นกรรมการหรือพนักงานของโจทก์ ป.จึงไม่มีสิทธิทั้งไม่ใช่ผู้มีอำนาจที่จะขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างแทนโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่คู่สัญญาของจำเลยในการซื้อขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7เช่นกัน โจทก์ไม่มีสิทธิกล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาต่อโจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องไว้ แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และปัญหานี้เกิดจากข้อเท็จจริงตามเอกสารที่โจทก์อ้างมา จึงเป็นข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาซื้อวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างจากโจทก์เพื่อสร้างบ้านลงในที่ดินของจำเลย โดยตกลงกันว่าโจทก์เป็นผู้จัดส่งวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างให้แก่จำเลย ณสถานที่ก่อสร้างเป็นงวดตามผลงานก่อสร้างและจำเลยจะชำระเงินเป็นงวดเมื่อโจทก์ส่งมอบวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างแก่จำเลยครบถ้วนในแต่ละงวด โจทก์ได้จัดส่งวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างตามสัญญาและตามรายการที่ขอเปลี่ยนครบถ้วนแล้ว คิดเป็นเงินค่าวัสดุทั้งสิ้น647,377 บาท จำเลยชำระเงินงวดที่ 1 รวมกับเงินมัดจำเป็นเงิน355,300 บาท ยังคงค้างอยู่อีก 292,077 บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 372,277 บาทแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายวันละ 200 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยว่าจ้างให้โจทก์ก่อสร้างบ้านลงในที่ดินของจำเลย โดยตกลงก่อสร้างตามแบบแปลนบ้านของโจทก์ เมื่อโจทก์รังวัดที่ดินและดำเนินการจนทราบว่าแบบแปลนบ้านสามารถปลูกสร้างลงบนที่ดินของจำเลยได้ จึงทำสัญญากันในราคา 770,000 บาทโจทก์ให้ทำสัญญา 2 ชุด คือสัญญาซื้อขายวัสดุก่อสร้างและสัญญาปลูกสร้าง เพื่อให้โจทก์เสียภาษีน้อยลง จำเลยชำระเงินเมื่อก่อสร้างตามสัญญาครบถ้วนทุกงวดงาน ครั้นงานใกล้จะเสร็จ จำเลยพบว่าโจทก์ก่อสร้างบ้านของจำเลยล้ำเข้าไปในที่สาธารณะส่วนหนึ่งจำเลยจึงให้โจทก์แก้ไข แต่โจทก์ละเลยคงดำเนินงานก่อสร้างบ้านของจำเลยต่อจนเสร็จโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเพราะความผิดทั้งหมดเกิดจากโจทก์เอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีประเด็นข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยในเบื้องแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีกรรมการ 9 คน กรรมการของโจทก์ 2 คน ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราของโจทก์เป็นสำคัญจึงจะกระทำการแทนโจทก์ได้ตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่านายวิโรจน์ อภิวัฒนลังการ ผู้มิได้มีรายชื่อเป็นกรรมการของโจทก์ ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างในหนังสือสัญญาซื้อขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างเอกสารหมาย จ.3 และประทับตราสำคัญของโจทก์ในช่องผู้ขายแทนโจทก์เพียงผู้เดียว โดยไม่ปรากฏว่านายวิโรจน์มีสิทธิหรืออำนาจอันใดที่จะลงลายมือชื่อในสัญญาฉบับนี้แทนโจทก์ได้ การลงลายมือชื่อในช่องผู้ขายแทนโจทก์ของนายวิโรจน์ดังกล่าว จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีสิทธิและโดยปราศจากอำนาจสัญญาที่นายวิโรจน์ทำขึ้นจึงไม่ใช่สัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยหรืออีกนัยหนึ่งเรียกได้ว่าโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาของจำเลย ในทำนองเดียวกันข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่า โจทก์ได้ส่งมอบวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างงวดที่ 2กับงวดที่ 3 ให้แก่จำเลย และจำเลยได้รับสินค้าดังกล่าวไว้แล้วตามบันทึกรับมอบวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างตามงวด เอกสารหมาย จ.6และ จ.7 โดยนายประวุฒิ แดงทองคำ ลงลายมือชื่อในช่องผู้ขายผู้ส่งมอบวัสดุแทนโจทก์ ก็ปรากฏว่า นายประวุฒิเป็นพนักงานของบริษัทสแตนดาร์ดควอลิตี้ จำกัด มิได้เป็นกรรมการหรือพนักงานของโจทก์ นายประวุฒิจึงไม่มีสิทธิทั้งไม่ใช่ผู้มีอำนาจที่จะขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างแทนโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่คู่สัญญาของจำเลยในการซื้อขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างตามบันทึกการรับมอบวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างตามงวดเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7เช่นกัน เมื่อโจทก์ไม่ใช่คู่่สัญญาของจำเลย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิกล่าวอ้างว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญาต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องไว้ดังที่โจทก์กล่าวในฎีกาก็ตาม แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และปัญหานี้เกิดจากข้อเท็จจริงตามเอกสารที่โจทก์อ้างมา จึงเป็นข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยสงบ ศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในประเด็นอื่นอีกต่อไปที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องของโจทก์เสียนั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share