แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ไม่มีพยานหลักฐานอันใดของโจทก์และโจทก์ร่วมบ่งชี้ว่าพี่สาวจำเลยยินยอมให้จำเลยชำระเงินที่โจทก์ร่วมอ้างว่าพี่สาวจำเลยยักยอกไปแทนพี่สาวจำเลย ทั้งคดีที่พี่สาวจำเลยถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินของโจทก์ร่วมนั้น พี่สาวจำเลยก็ให้การปฏิเสธ จนพนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการดำเนินการต่อไปแล้ว แต่พนักงานอัยการยังไม่ได้ฟ้องพี่สาวจำเลยต่อศาล ดังนั้น เมื่อยังไม่มีคำพิพากษาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วม จึงไม่อาจฟังว่าพี่สาวจำเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมไปโดยพลการ อันทำให้ต้องใช้เงินคืนแก่โจทก์ร่วม เป็นเหตุให้ยังไม่มีหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ร่วมแทนพี่สาวจำเลยด้วยการทำสัญญากู้เงินของโจทก์ร่วม การที่จำเลยออกเช็คในคดีนี้มอบแก่โจทก์ร่วมตามสัญญากู้เงินดังกล่าว จึงไม่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายประสาน ประเสริฐวิทย์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 14ธันวาคม 2537 จำเลยทำสัญญากู้เงินจากโจทก์ร่วมจำนวน 115,009 บาท ตามหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 และจำเลยออกเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาหลังสวน สั่งจ่ายเงินเพื่อชำระเงินตามสัญญากู้เงินแก่โจทก์ร่วมด้วย ตามเช็คเอกสารหมาย จ.2 เมื่อเช็คถึงกำหนดจ่ายเงิน โจทก์ร่วมนำเช็คไปเข้าบัญชีของโจทก์ร่วมที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาปากน้ำชุมพร เพื่อเรียกเก็บเงินแทนตามวิธีการของธนาคารปรากฏว่า ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.3 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่าจำเลยกระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 บัญญัติว่า “ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ฯลฯ เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น ผู้ออกเช็คมีความผิด ฯลฯ” ดังนั้นตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว การออกเช็คที่มีมูลความผิดจะต้องปรากฏในเบื้องแรกว่ามีหนี้ที่จะต้องชำระแก่กันอยู่ และเป็นหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมาย ประการต่อไปผู้ออกเช็คได้ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ดังกล่าวโดยมีลักษณะหรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามอนุมาตราใดอนุมาตราหนึ่งของมาตรา 4 นั้น และผู้ทรงเช็คได้ยื่นเช็คต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมายและธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ด้วยเหตุดังกล่าวก่อนอื่นต้องพิเคราะห์เสียก่อนว่ามูลหนี้ที่ก่อให้มีการทำสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 มีอยู่หรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้ โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยนำสืบต้องกันว่า โจทก์ร่วมกล่าวหาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วม จำเลยต้องการชดใช้เงินแก่โจทก์ร่วมแทนพี่สาวจำเลย จึงทำเป็นสัญญากู้เงินโจทก์ร่วมเท่าจำนวนเงินที่โจทก์ร่วมกล่าวหาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกไป และออกเช็คมอบแก่โจทก์ร่วมเพื่อใช้หนี้ตามสัญญากู้เงินดังกล่าว และโจทก์ร่วมเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ไม่มีการทำบันทึกเป็นหลักฐานไว้ในเรื่องที่นางกัลยา (พี่สาวจำเลย) ยอมรับว่าได้ยักยอกเงินของโจทก์ร่วม นอกจากนี้ร้อยตำรวจเอกอุทัย ไชยด้วง พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความว่า มูลหนี้ตามสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยเกิดจากนางกัลยาพี่สาวจำเลยที่เป็นลูกจ้างโจทก์ร่วมยักยอกเงินของโจทก์ร่วมไป และจำเลยยอมเป็นลูกหนี้แทน ซึ่งพี่สาวจำเลยก็ยินยอมด้วย แต่ร้อยตำรวจเอกอุทัยเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า นางกัลยา (พี่สาวจำเลย) ไม่ได้ลงชื่อยินยอมให้จำเลยชำระหนี้แทน คดีที่พี่สาวจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วม ร้อยตำรวจเอกอุทัยแยกสำนวนสอบสวนไป และส่งมอบแก่พนักงานอัยการแล้วซึ่งในชั้นสอบสวนพี่สาวจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ยักยอกเงินของโจทก์ร่วม พนักงานอัยการยังไม่ได้ยื่นฟ้อง จากคำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวจึงสรุปข้อเท็จจริงได้ว่า ไม่มีพยานหลักฐานอันใดของโจทก์และโจทก์ร่วมบ่งชี้ว่าพี่สาวจำเลยยินยอมให้จำเลยชำระเงินที่โจทก์ร่วมอ้างว่าพี่สาวจำเลยยักยอกไปแทนพี่สาวจำเลย ทั้งคดีที่พี่สาวจำเลยถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินของโจทก์ร่วมนั้น พี่สาวจำเลยก็ให้การปฏิเสธจนพนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการดำเนินการต่อไปแล้ว แต่พนักงานอัยการยังไม่ได้ฟ้องพี่สาวจำเลยต่อศาล ดังนั้น เมื่อยังไม่มีคำพิพากษาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วม จึงไม่อาจฟังว่าพี่สาวจำเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมไปโดยพลการ อันทำให้ต้องใช้เงินคืนแก่โจทก์ร่วม เป็นเหตุให้ยังไม่มีหนี้ที่จำเลยต้องชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมแทนพี่สาวจำเลยด้วยการทำสัญญากู้เงินของโจทก์ร่วม การที่จำเลยออกเช็คในคดีนี้มอบแก่โจทก์ร่วมตามสัญญากู้เงินดังกล่าว จึงไม่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน