คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8401/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รับผิดเป็นการส่วนตัวในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง ของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 โจทก์ฎีกาแต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินกระทำการประมาทเลินเล่อ โดยโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ซึ่งเมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รับผิดเป็นการส่วนตัวในผลแห่งละเมิด กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กระทำละเมิดหรือไม่
โจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนรู้เห็นกับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ซึ่งรับทำการจัดซื้อที่ดินผืนใหญ่ให้โจทก์ สนับสนุนให้จำเลยที่ 3 เจ้าหน้าที่ที่ดินกระทำโดยทุจริตในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แปลงพิพาท ซึ่งเมื่อโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยไม่ชอบ โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ได้ ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่สิบเก้า

ย่อยาว

คดีทั้งห้าสิบห้าสำนวนศาลสั่งรวมการพิจารณา เพื่อความสะดวกให้เรียกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ทุกสำนวนว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 เรียกจำเลยที่ 8 สำนวนแรกถึงสำนวนที่ 4 ว่าจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ตามลำดับ สำนวนที่ 5 และที่ 33 ว่าจำเลยที่ 12 สำนวนที่ 6 และที่ 42 ว่าจำเลยที่ 13 สำนวนที่ 7 และที่ 9 ว่าจำเลยที่ 14 สำนวนที่ 8 และที่ 10 ถึงที่ 13 ว่าจำเลยที่ 15 ถึงที่ 19 ตามลำดับ สำนวนที่ 14 และที่ 15 ว่าจำเลยที่ 20 สำนวนที่ 16 และที่ 17 ว่าจำเลยที่ 21 สำนวนที่ 18 และที่ 19 ว่าจำเลยที่ 22 และที่ 23 ตามลำดับสำนวนที่ 20 ที่ 21 และที่ 51 ว่าจำเลยที่ 24 สำนวนที่ 22 และที่ 23 ว่าจำเลยที่ 25 และที่ 26 ตามลำดับ สำนวนที่ 24 และที่ 31 ว่าจำเลยที่ 27 สำนวนที่ 25 ถึงที่ 28 ว่าจำเลยที่ 28 ถึงที่ 31 ตามลำดับ สำนวนที่ 29 และที่ 48 ว่าจำเลยที่ 32 สำนวนที่ 30 และที่ 37 ว่าจำเลยที่ 33 สำนวนที่ 32 และที่ 38 ว่าจำเลยที่ 34 สำนวนที่ 34 และที่ 53 ว่าจำเลยที่ 35 สำนวนที่ 35 และที่ 36 ว่าจำเลยที่ 36 และที่ 37 ตามลำดับ สำนวนที่ 39 ถึงที่ 41 ว่าจำเลยที่ 38 ถึงที่ 40 ตามลำดับ สำนวนที่ 43 ถึงที่ 47 ว่าจำเลยที่ 41 ถึงที่ 45 ตามลำดับ สำนวนที่ 49 ว่าจำเลยที่ 46 สำนวนที่ 50 และที่ 55 ว่าจำเลยที่ 47 สำนวนที่ 52 ว่าจำเลยที่ 48 และสำนวนที่ 54 ว่าจำเลยที่ 49
คดีทั้งห้าสิบห้าสำนวนดังกล่าวโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 เพิกถอนคำสั่งที่ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์หากไม่สามารถเพิกถอนได้ สำนวนแรกขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ร่วมกันชำระเงิน 1,188,486.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,018,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 2 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ร่วมกันชำระเงิน 833,096.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 713,700 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 3 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 10 ร่วมกันชำระเงิน 931,848.89 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 798,300 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 4 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 11 ร่วมกันชำระเงิน 1,211,648.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,038,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 5 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 12 ร่วมกันชำระเงิน 1,272,347.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 1,090,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 6 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 13 ร่วมกันชำระเงิน 645,044.99 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 552,600 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 7 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 14 ร่วมกันชำระเงิน 809,400.08 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 693,400 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 8 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 15 ร่วมกันชำระเงิน 1,046,126.83 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 896,200 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 9 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 14 ร่วมกันชำระเงิน 1,002,887.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 859,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 10 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 16 ร่วมกันชำระเงิน 207,777.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 178,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 11 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 17 ร่วมกันชำระเงิน 1,258,456.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,078,100 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 12 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 18 ร่วมกันชำระเงิน 691,503.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 592,400 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 13 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 19 ร่วมกันชำระเงิน 875,082.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 749,400 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 14 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 20 ร่วมกันชำระเงิน 161,086.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 138,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 15 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 20 ร่วมกันชำระเงิน 737,728.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 632,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 16 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 21 ร่วมกันชำระเงิน 979,357.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 839,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 17 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 21 ร่วมกันชำระเงิน 465,632.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 398,900 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 18 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 22 ร่วมกันชำระเงิน 763,262.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 739,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 19 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 23 ร่วมกันชำระเงิน 1,166,591.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 999,400 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 20 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 24 ร่วมกันชำระเงิน 1,112,544.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 953,100 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 21 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 24 ร่วมกันชำระเงิน 530,183.99 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 454,200 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 22 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 25 ร่วมกันชำระเงิน 902,629.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 773,300 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 23 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 26 ร่วมกันชำระเงิน 835,197.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 715,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 24 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 27 ร่วมกันชำระเงิน 1,260,324.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,079,700 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 25 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 28 ร่วมกันชำระเงิน 325,907.91 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 279,200 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 26 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 29 ร่วมกันชำระเงิน 412,053.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 353,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 27 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 30 ร่วมกันชำระเงิน 1,252,270.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,072,270.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,072,800 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 28 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 31 ร่วมกันชำระเงิน 1,352,307.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,158,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 29 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 32 ร่วมกันชำระเงิน 988,588.08 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 847,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 30 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 33 ร่วมกันชำระเงิน 1,259,741.09 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,029,200 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 31 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 27 ร่วมกันชำระเงิน 1,260,208.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,079,600 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 32 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 34 ร่วมกันชำระเงิน 838,465.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 718,300 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 33 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 12 ร่วมกันชำระเงิน 466,099.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 399,300 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 34 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 35 ร่วมกันชำระเงิน 1,019,279.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 873,200 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 35 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 36 ร่วมกันชำระเงิน 1,019,512.58 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 873,400 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 36 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 37 ร่วมกันชำระเงิน 1,089,083.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 933,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 37 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 33 ร่วมกันชำระเงิน 766,543.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 656,100 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 38 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 34 ร่วมกันชำระเงิน 903,121.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 773,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 39 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 38 ร่วมกันชำระเงิน 833,021.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 713,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 40 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 39 ร่วมกันชำระเงิน 553,089 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 473,400 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 41 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 40 ร่วมกันชำระเงิน 1,025,796.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 878,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 42 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 13 ร่วมกันชำระเงิน 524,581.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 449,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 43 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 41 ร่วมกันชำระเงิน 1,255,724.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,074,800 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 44 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 42 ร่วมกันชำระเงิน 1,565,216.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,339,700 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 45 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 43 ร่วมกันชำระเงิน 713,837.95 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 612,700 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 46 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 44 ร่วมกันชำระเงิน 324,796.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 278,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 47 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 45 ร่วมกันชำระเงิน 536,615.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 459,300 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 48 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 32 ร่วมกันชำระเงิน 817,249.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 699,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 49 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 46 ร่วมกันชำระเงิน 174,549 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 149,400 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 50 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 47 ร่วมกันชำระเงิน 973,513.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 833,100 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 51 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 24 ร่วมกันชำระเงิน 745,513.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 638,100 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 52 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 48 ร่วมกันชำระเงิน 1,113,421.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 953,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 53 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 35 ร่วมกันชำระเงิน 900,785 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 771,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 54 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 49 ร่วมกันชำระเงิน 1,228,152 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,051,200 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ สำนวนที่ 55 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และ ที่ 47 ร่วมกันชำระเงิน 807,668.83 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 691,300 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จำเลยที่ 4 ในสำนวนที่ 18 ที่ 19 ที่ 21 ถึงที่ 23 ที่ 25 ที่ 28 ถึงที่ 48 ที่ 50 และที่ 52 ถึงที่ 55 จำเลยที่ 5 และที่ 6 ในสำนวนที่ 20 ที่ 30 ถึงที่ 33 ที่ 41 ที่ 46 ที่ 49 ถึงที่ 51 ที่ 53 ที่ 55 กับจำเลยที่ 5 ในสำนวนที่ 29 ที่ 35 ที่ 38 ถึงที่ 40 ที่ 43 และที่ 48 จำเลยที่ 10 ที่ 11 จำเลยที่ 12 ในสำนวนที่ 33 จำเลยที่ 13 ในสำนวนที่ 42 จำเลยที่ 17 ถึงที่ 19 จำเลยที่ 20 ในสำนวนที่ 14 จำเลยที่ 21 ในสำนวนที่ 16 จำเลยที่ 23 จำเลยที่ 24 ในสำนวนที่ 20 และที่ 51 จำเลยที่ 25 ที่ 26 จำเลยที่ 27 ในสำนวนที่ 31 จำเลยที่ 28 ถึงที่ 33 จำเลยที่ 34 ในสำนวนที่ 38 จำเลยที่ 35 ถึงที่ 49 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ในสำนวนแรกถึงสำนวนที่ 17 ที่ 20 ที่ 24 ที่ 26 ที่ 27 ที่ 49 และที่ 51 จำเลยที่ 5 ในสำนวนแรกถึงสำนวนที่ 19 ที่ 21 ถึงที่ 28 ที่ 34 ที่ 36 ที่ 37 ที่ 42 ที่ 44 ที่ 45 ที่ 47 ที่ 52 และที่ 54 จำเลยที่ 6 ในสำนวนแรกถึงสำนวนที่ 19 ที่ 21 ถึงที่ 29 ที่ 34 ถึงที่ 40 ที่ 42 ถึงที่ 45 ที่ 47 ที่ 48 และที่ 54 จำเลยที่ 7 จำเลยที่ 8 และที่ 9 จำเลยที่ 12 ในสำนวนที่ 5 จำเลยที่ 13 ในสำนวนที่ 6 จำเลยที่ 14 ถึงที่ 16 จำเลยที่ 20 ในสำนวนที่ 15 จำเลยที่ 21 ในสำนวนที่ 17 จำเลยที่ 22 จำเลยที่ 24 ในสำนวนที่ 21 จำเลยที่ 27 ในสำนวนที่ 24 และจำเลยที่ 34 ในสำนวนที่ 32 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3 ที่ 7 ที่ 20 ที่ 43 ที่ 46 และที่ 49 ถึงแก่ความตาย โจทก์ขอให้เรียกนายพุทธพงศ์ และนายธนากร เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 3 นางคำจวน และนางมะลิ เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 7 นายวชิรพงศ์ นายสุรศักดิ์ และนายสุวินัย เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 20 นางดอกไม้ และนางสาวสรีรัตน์ เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 43 นางสาวทองปาน และนางสาวเบญจมาศ เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 46 นางนวนจันทร์ เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 49 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 8 ชำระเงิน 1,018,500 บาท จำเลยที่ 9 ชำระเงิน 713,700 บาท จำเลยที่ 10 ชำระเงิน 798,300 บาท จำเลยที่ 11 ชำระเงิน 1,038,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 6 พฤษภาคม 2540) จนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 12 ชำระเงิน 1,489,300 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,090,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 6 พฤษภาคม 2540) และต้นเงิน 399,300 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 พฤษภาคม 2540) จนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 13 ชำระเงิน 1,001,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 552,600 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 6 พฤษภาคม 2540) และต้นเงิน 449,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 8 พฤษภาคม 2540) จนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 14 ชำระเงิน 1,552,900 บาท จำเลยที่ 15 ชำระเงิน 896,200 บาท จำเลยที่ 16 ชำระเงิน 178,000 บาท จำเลยที่ 17 ชำระเงิน 1,078,100 บาท จำเลยที่ 18 ชำระเงิน 592,400 บาท จำเลยที่ 19 ชำระเงิน 749,400 บาท จำเลยที่ 20 ชำระเงิน 770,000 บาท จำเลยที่ 21 ชำระเงิน 1,237,900 บาท จำเลยที่ 22 ชำระเงิน 739,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 6 พฤษภาคม 2540) จนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 23 ชำระเงิน 999,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 พฤษภาคม 2540) จนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 24 ชำระเงิน 2,045,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,407,300 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 พฤษภาคม 2540) และต้นเงิน 638,100 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 8 พฤษภาคม 2540) จนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 25 ชำระเงิน 773,300 บาท จำเลยที่ 26 ชำระเงิน 715,500 บาท จำเลยที่ 27 ชำระเงิน 2,159,300 บาท จำเลยที่ 28 ชำระเงิน 279,200 บาท จำเลยที่ 29 ชำระเงิน 353,000 บาท จำเลยที่ 30 ชำระเงิน 1,072,800 บาท จำเลยที่ 31 ชำระเงิน 1,158,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 พฤษภาคม 2540) จนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยที่ 32 ชำระเงิน 1,546,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 847,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 พฤษภาคม 2540) และต้นเงิน 699,500 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 8 พฤษภาคม 2540) จนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 33 ชำระเงิน 1,735,300 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,072,200 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 พฤษภาคม 2540) และต้นเงิน 656,100 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 8 พฤษภาคม 2540) จนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 34 ชำระเงิน 1,491,300 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 718,300 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 พฤษภาคม 2540) และต้นเงิน 773,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 8 พฤษภาคม 2540) จนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 35 ชำระเงิน 1,644,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 873,200 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 พฤษภาคม 2540) และต้นเงิน 771,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 8 พฤษภาคม 2540) จนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 36 ชำระเงิน 873,400 บาท จำเลยที่ 37 ชำระเงิน 933,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 พฤษภาคม 2540) จนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 38 ชำระเงิน 713,000 บาท จำเลยที่ 39 ชำระเงิน 473,400 บาท จำเลยที่ 40 ชำระเงิน 878,000 บาท จำเลยที่ 41 ชำระเงิน 1,074,800 บาท จำเลยที่ 42 ชำระเงิน 1,339,700 บาท จำเลยที่ 43 ชำระเงิน 612,700 บาท จำเลยที่ 44 ชำระเงิน 278,000 บาท จำเลยที่ 45 ชำระเงิน 459,300 บาท จำเลยที่ 46 ชำระเงิน 149,400 บาท จำเลยที่ 47 ชำระเงิน 1,524,400 บาท จำเลยที่ 48 ชำระเงิน 953,000 บาท จำเลยที่ 49 ชำระเงิน 1,051,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 8 พฤษภาคม 2540) จนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ให้จำเลยที่ 8 ถึงที่ 49 ใช้ค่าขึ้นศาลในสำนวนที่ตนถูกฟ้อง กับให้จำเลยที่ 16 และที่ 46 ใช้ค่าทนายความคนละ 1,000 บาท จำเลยที่ 28 และที่ 44 ใช้ค่าทนายความคนละ 2,000 บาท จำเลยที่ 29 ใช้ค่าทนายความ 3,000 บาท จำเลยที่ 39 และที่ 45 ใช้ค่าทนายความคนละ 4,000 บาท จำเลยที่ 18 และที่ 43 ใช้ค่าทนายความคนละ 5,000 บาท และ 6,000 บาท ตามลำดับ จำเลยที่ 9 ที่ 10 ที่ 19 ที่ 20 ที่ 22 ที่ 25 ที่ 26 และที่ 38 ใช้ค่าทนายความคนละ 7,000 บาท จำเลยที่ 15 ที่ 36 และที่ 40 ใช้ค่าทนายความคนละ 8,000 บาท จำเลยที่ 23 ที่ 37 และที่ 48 ใช้ค่าทนายความคนละ 9,000 บาท จำเลยที่ 8 ที่ 11 ที่ 13 ที่ 17 ที่ 30 ที่ 41 และที่ 49 ใช้ค่าทนายความคนละ 10,000 บาท จำเลยที่ 31 ที่ 21 และที่ 42 ใช้ค่าทนายความคนละ 11,000 บาท 12,000 บาท และ 13,000 บาท ตามลำดับ จำเลยที่ 12 และที่ 34 ใช้ค่าทนายความคนละ 14,000 บาท จำเลยที่ 14 ที่ 32 และที่ 47 ใช้ค่าทนายความคนละ 15,000 บาท จำเลยที่ 35 ที่ 33 ที่ 24 และที่ 27 ใช้ค่าทนายความ 16,000 บาท 17,000 บาท 20,000 บาท และ 21,000 บาท ตามลำดับแทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นและค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ให้เป็นพับ หนี้ดังกล่าวให้จำเลยที่ 20 ที่ 43 ที่ 46 และที่ 49 รับผิดไม่เกินทรัพย์มรดกของนายเสถียร นายสมศักดิ์ นายทองสา และนายสุบัน ที่ตกทอดได้แก่ตนตามลำดับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 8 ที่ 10 ถึงที่ 20 ที่ 23 ถึงที่ 29 ที่ 32 ที่ 33 ที่ 35 ที่ 37 ที่ 38 ที่ 40 ถึงที่ 44 และที่ 46 ถึงที่ 49 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาพิพากษาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
จำเลยที่ 30 และที่ 31 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
โจทก์ จำเลยที่ 18 ถึงที่ 20 และที่ 29 ถึงที่ 31 อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 31 และที่ 44 ถึงแก่ความตาย นายคำฮ้อย และนางสาวสุมาลี ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 31 และที่ 44 ตามลำดับ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมด แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยที่ 8 ถึงที่ 49 ใหม่ภายในอายุความ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 13 ที่ 29 ที่ 37 และที่ 41 ถึงแก่ความตาย โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางสาววีรยา บุตรของจำเลยที่ 29 นางปัญญา ภริยาของจำเลยที่ 37 และนายสุรศักดิ์ บุตรของจำเลยที่ 41 เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกามีคำสั่งตั้งบุคคลผู้ถูกเรียกเป็นคู่ความแทน ส่วนจำเลยที่ 13 นั้น เมื่อไม่มีบุคคลใดมีคำขอและไม่มีคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอให้บุคคลใดเข้ามาเป็นคู่ความแทน ประกอบกับโจทก์ขอให้ศาลฎีกาจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 13 ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 13 เสียจากสารบบความ
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งคัดค้านในชั้นนี้ฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลหน่วยราชการประเภทกรม มีอำนาจหน้าที่ออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดิน จำเลยที่ 2 ขณะเกิดเหตุเป็นข้าราชการดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอบุ่งคล้า จังหวัดหนองคาย จำเลยที่ 3 และที่ 4 ขณะเกิดเหตุเป็นข้าราชการตำแหน่งพนักงานที่ดินอำเภอ และผู้ช่วยพนักงานที่ดินอำเภอประจำกิ่งอำเภอบุ่งคล้า จังหวัดหนองคาย ตามลำดับ จำเลยที่ 8 ถึงที่ 49 เป็นราษฎรที่มีภูมิลำเนาอยู่ในกิ่งอำเภอบุ่งคล้า เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2537 มีการยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือโฉนดที่ดิน (น.ส.1 ข.) จำนวน 100 แปลง ซึ่งรวมทั้งในนามจำเลยที่ 8 ถึงที่ 22 ที่ 24 ถึงที่ 26 ที่ 29 ถึงที่ 41 ที่ 43 และที่ 46 ถึงที่ 49 ประสงค์จะขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลบุ่งคล้า กิ่งอำเภอบุ่งคล้า จังหวัดหนองคาย และเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2537 มีการยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทำนองเดียวกันจำนวน 39 แปลง ซึ่งรวมทั้งในนามจำเลยที่ 23 ที่ 24 ที่ 27 ที่ 28 ที่ 34 และที่ 44 รวมเฉพาะของจำเลยที่ 8 ถึงที่ 49 ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน 55 แปลง รายละ 1 แปลง 30 ราย รายละ 2 แปลง 11 ราย และรายละ 3 แปลง 1 ราย โดยยื่นคำขอในวันที่ 8 กันยายน 2537 จำนวน 46 แปลง ยื่นคำขอในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2537 จำนวน 9 แปลง มีการรังวัดเขตพื้นที่ที่ดิน สอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยจำเลยที่ 4 เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่พิสูจน์สอบสวน เสนอข้อเท็จจริงต่อจำเลยที่ 3 พนักงานเจ้าหน้าที่ทำความเห็นเสนอจำเลยที่ 2 เพื่อเสนอจังหวัดหนองคายให้อนุมัติออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) แก่ผู้ยื่นคำขอ ภายหลังผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายอนุมัติให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ผู้ยื่นคำขอ จำเลยที่ 2 ในฐานะปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอบุ่งคล้าได้ลงชื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ให้จำเลยที่ 8 ถึงที่ 49 เป็นผู้มีชื่อถือสิทธิครอบครองในที่ดินทั้ง 55 แปลง ในวันเดียวกันเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2538 รวมเป็นเนื้อที่ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหมด 2,051 ไร่ 2 งาน 136 ตารางวา วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2538 กรรมการบริษัทโจทก์ประชุมมีมติให้ซื้อที่ดินที่มีชื่อจำเลยที่ 8 ถึงที่ 49 เป็นผู้มีชื่อถือสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และที่ดินแปลงอื่นด้วย รวม 98 แปลง เนื้อที่รวม 2,941 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา ในราคาไร่ละ 20,000 บาท และมีการโอนทางทะเบียนในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2538 ภายหลังหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่จำเลยที่ 8 ถึงที่ 49 มีชื่อเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองถูกเพิกถอนเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2540 เนื่องจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาจำเลยที่ 2 ถูกลงโทษทางวินัย ภาคทัณฑ์ฐานไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เกิดผลดีแก่ราชการ จำเลยที่ 3 ถูกลงโทษทางวินัยไล่ออกจากราชการฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่และจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และจำเลยที่ 4 ถูกดำเนินคดีอาญาฐานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต การซื้อที่ดินของโจทก์มีจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 เป็นนายหน้าผู้ประสานงาน สำหรับที่ดินซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมถือว่าเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งรัฐจะจัดให้ราษฎรเข้าครอบครองและทำประโยชน์ได้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินกำหนด ซึ่งถ้าหากผู้ครอบครองไม่มีหลักฐานทางที่ดินจะไม่สามารถออกเอกสารสิทธิในที่ดินได้ ต่อมาเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างกรมที่ดินกับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่า ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมอ้างว่าไม่สามารถออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้ได้ เช่น ออกเป็น น.ส.3 น.ส.3 ก. หรือโฉนดที่ดิน เมื่อปี 2535 คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า เมื่อได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินในท้องที่ใดแล้ว และในเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เข้าไปดำเนินการแล้วหรือยังไม่ได้ดำเนินการก็ตาม พนักงานเจ้าหน้าที่จะออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้แก่ราษฎรที่ครอบครองและทำประโยชน์อยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับไม่ได้ ถ้าราษฎรดังกล่าวไม่ได้แจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 หรือมิได้แจ้งความประสงค์จะได้สิทธิในที่ดินตามมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดินไว้ก่อนมีการกำหนดเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ต่อมากรมที่ดินได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าที่ดินที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินแต่อยู่นอกเขตดำเนินการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พนักงานเจ้าหน้าที่จะมีอำนาจออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้แก่ราษฎรที่ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ แต่มิได้แจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ได้หรือไม่ วันที่ 29 มีนาคม 2537 คณะกรรมการกฤษฎีกาแจ้งให้กรมที่ดินทราบว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาทบทวนปัญหาดังกล่าวแล้ว มีความเห็นยืนตามความเห็นเดิม
ในส่วนของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นข้าราชการจึงเป็นเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รับผิดเป็นการส่วนตัวในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ได้ตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง ของพระราชบัญญัติดังกล่าว โจทก์ฎีกาแต่เพียงว่า จากรายงานการสอบสวน จะเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินเป็นการกระทำอันประมาทเลินเล่อ โดยโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รับผิดเป็นการส่วนตัวในผลแห่งละเมิด กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กระทำละเมิดโจทก์หรือไม่
เห็นสมควรวินิจฉัยเป็นเบื้องแรกตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือไม่ เห็นว่า เมื่อต้นปี 2537 โจทก์ได้รับมอบหมายให้จัดซื้อที่ดินผืนใหญ่มีเนื้อที่ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นผืนเดียวกันในเขตกิ่งอำเภอบุ่งคล้า จังหวัดหนองคาย โดยมีบริษัทที.ซี.ซี.โฮลดิ้ง จำกัด เป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับการซื้อที่ดิน มีหน้าที่ดูแลด้านกฎหมาย การทำนิติกรรมและสัญญาต่าง ๆ ต่อมากลางปี 2537 จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 เสนอรับจัดหาที่ดินผืนใหญ่ให้โจทก์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิรวมทั้งที่ดินพิพาทในคดีนี้ โดยนำระวางภาพถ่าย รว.9 และภาพถ่ายระวางแผนที่ที่ดินที่เสนอขายมอบให้โจทก์เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ซึ่งแผนที่รูปที่ดินตำแหน่งบริเวณที่ต้องการจะซื้อตรงกันกับบริเวณที่ดินที่ระบุในแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่กิ่งอำเภอบุ่งคล้า จังหวัดหนองคาย ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ.2535 หลังจากนั้นโจทก์ส่งพนักงานไปตรวจสอบพื้นที่ แล้วโจทก์กับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ทำสัญญารับทำการจัดซื้อที่ดินผืนใหญ่ โดยโจทก์รับซื้อที่ดินในราคาไร่ละ 20,000 บาท โดยสัญญาระบุว่า สำหรับที่ดินที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิหรือเอกสารแสดงการครอบครองอื่นใดซึ่งรวมทั้งที่ดินของจำเลยที่ 8 ถึงที่ 49 ที่พิพาทคดีนี้ จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ต้องดำเนินการให้ทางราชการออกเป็นเอกสารสิทธิ น.ส.3 หรือ น.ส.3 ก. หรือโฉนดที่ดินให้เสร็จสิ้นภายในเวลาก่อนจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โอนขายให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 จัดให้ผู้ครอบครองที่ดินที่จะขายให้แก่โจทก์รวมทั้งจำเลยที่ 8 ถึงที่ 49 ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือโฉนดที่ดิน (น.ส.1 ข.) ในวันที่ 8 กันยายน 2537 จำนวน 100 แปลง และในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2537 จำนวน 39 แปลง จำเลยที่ 3 เป็นผู้รังวัดพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ และดำเนินการอื่น ๆ เพื่อให้มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) แต่จำเลยที่ 3 กระทำโดยมีเจตนาหรือจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ หรือปกปิดข้อมูลข้อเท็จจริงในการเสนอเรื่องต่อผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับเรื่องที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมซึ่งไม่ได้แจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 หรือมิได้แจ้งความประสงค์จะได้สิทธิในที่ดินตามมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดินไว้ก่อนมีการกำหนดเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นเหตุให้มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) สำหรับที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 8 ถึงที่ 49 โดยมิชอบ โจทก์ซึ่งมีบริษัทที่ปรึกษากฎหมายเป็นผู้ดูแลในการจัดซื้อที่ดินย่อมทราบว่าพื้นที่ใดที่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้ได้และพื้นที่ใดที่ไม่อาจออกเอกสารสิทธิให้ได้ และย่อมจะต้องทราบว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวอยู่ในเขตปฏิรูปไม่อยู่ในวิสัยที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวได้ประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเมื่อปี 2535 โดยมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 109 ตอนที่ 126 เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2535 การที่มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้บุคคลทั่วไปได้รับรู้ถึงบริเวณพื้นที่ตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเป็นเขตพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แวดล้อมประกอบแล้วน่าเชื่อว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนรู้เห็นกับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ผู้ซึ่งรับทำการจัดซื้อที่ดินผืนใหญ่สนับสนุนให้จำเลยที่ 3 เจ้าหน้าที่ที่ดินกระทำโดยทุจริตในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แปลงพิพาท ดังนั้นเมื่อโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) โดยไม่ชอบ โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ได้ ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่สิบเก้าในมูลคดีเรื่องละเมิดและนายหน้า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของฝ่ายโจทก์อีก เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share