แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 3 ทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อและประสานงานการขายเฮโรอีนทั้งสองครั้งระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับดาบตำรวจ ณ. ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งส่งมอบเฮโรอีนของกลางและรับเงินค่าเฮโรอีน จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน
โจทก์มีคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ติดต่อกันทั้งสองสำนวน แม้เป็นคดีที่รวมพิจารณาเข้าด้วยกัน และศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตทั้งสองสำนวนก็นับโทษต่อกันได้
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยที่ 3 ในสำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 3
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 97, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 3, 4, 5, 11, 12, 13, 18, 62, 81 ริบเฮโรอีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ย. 1905/2547 ของศาลชั้นต้น เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามกฎหมาย
สำนวนหลังโจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 3, 4, 5, 11, 12, 13, 18, 62, 81 ริบเฮโรอีนของกลาง นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ย. 1904/2547 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพ โดยจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อและจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 81 จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (3), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (3), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 4 เดือน ฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 4 เดือน ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกับฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทแต่ละบทมีโทษเท่ากัน ลงโทษฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 แต่เพียงกระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกับฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทแต่ละบทมีโทษเท่ากัน ลงโทษฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 แต่เพียงกระทงเดียว ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลพิพากษาให้ประหารชีวิตแล้วไม่อาจเพิ่มโทษได้อีกจึงคงประหารชีวิตจำเลยที่ 2 สถานเดียว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 2 เดือน ฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 2 เดือน ฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต และจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิตทั้งสองกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52 (2) ทางนำสืบของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 3 ตลอดชีวิตทั้งสองกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52 (1) ศาลพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิตไม่อาจนำโทษข้อหาอื่นมารวมกันอีกได้ จึงคงจำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิตสถานเดียว ริบเฮโรอีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตและจำหน่ายเฮโรอีนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจเอกชยพจน์ และดาบตำรวจณัฎฐพล ผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสามเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2546 พันตำรวจเอกชยพจน์ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยที่ 3 ติดต่อหาลูกค้าซื้อเฮโรอีนและตรวจสอบแล้วพบว่าจำเลยที่ 3 มีประวัติเป็นผู้ค้ายาเสพติด พันตำรวจเอกชยพจน์จึงมอบหมายให้ดาบตำรวจณัฎฐพลปลอมตัวเป็นพ่อค้าเข้าล่อซื้อ ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม 2546 ดาบตำรวจณัฎฐพลพบจำเลยที่ 3 ครั้งแรกโดยสายลับแนะนำที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ ถนนสุขุมวิท กรุงเทพมหานคร มีการเจรจาซื้อขายเฮโรอีนและมอบหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้แก่กันและกัน วันที่ 3 มิถุนายน 2546 ดาบตำรวจณัฎฐพลไปพบจำเลยที่ 3 ที่โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ จำเลยที่ 3 พานางซ้อสองมาด้วยและบอกว่านางซ้อสองเป็นเจ้าของเฮโรอีน มีการเจรจาซื้อขายเฮโรอีนกัน ต่อมาเดือนเมษายน 2547 จำเลยที่ 3 โทรศัพท์ติดต่อดาบตำรวจณัฎฐพลเสนอขายเฮโรอีนให้ พันตำรวจเอกชยพจน์จึงประสานงานกับสำนักงานปราบปรามยาเสพติดแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อขอการสนับสนุนเงินล่อซื้อ 300,000 บาท ดาบตำรวจณัฎฐพลติดต่อนัดพบจำเลยที่ 3 ที่โรงแรมวังทอง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 22 เมษายน 2547 ครั้นถึงวันนัดพยานทั้งสองกับพวกเดินทางไปตามนัด จำเลยที่ 3 ขอดูเงินจากดาบตำรวจณัฎฐพลแล้วบอกว่าจะเอาเฮโรอีนมาส่งให้ที่ห้อง 726 ให้ดาบตำรวจณัฎฐพลรอที่ห้อง 730 จำเลยที่ 3 รับเงินจำนวน 300,000 บาท และกุญแจห้อง 726 ไป ระหว่างนั้นเจ้าพนักงานตำรวจชุดสะกดรอยรายงานพันตำรวจเอกชยพจน์ว่าจำเลยที่ 3 ข้ามไปในเขตสหภาพพม่า เวลา 13 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจชุดสะกดรอยรายงานว่าจำเลยที่ 1 นำสิ่งของเข้าไปไว้ในห้อง 726 จากนั้นจำเลยที่ 3 นำกุญแจห้อง 726 มาคืนให้แก่ดาบตำรวจณัฎฐพลและบอกว่าเอาของไว้ในห้องแล้ว ดาบตำรวจณัฎฐพลตรวจดูแล้วพบเฮโรอีน 2 แท่ง อยู่ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง ต่อมาอีกประมาณ 1 สัปดาห์ ดาบตำรวจณัฎฐพลได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากจำเลยที่ 3 ว่า เฮโรอีนอีก 10 ตัว พร้อมจะส่งจึงนัดพบกันที่โรงแรมวังทองเช่นเดิม พันตำรวจเอกชยพจน์ติดต่อขอยืมเงินจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาคกลาง 3,000,000 บาท วันที่ 28 เมษายน 2547 ดาบตำรวจณัฎฐพลพบกับจำเลยที่ 3 ที่คอฟฟี่ช็อฟของโรงแรมแล้วไปดูเงินที่ใช้ล่อซื้อที่ห้อง 617 จำเลยที่ 3 บอกว่ามีคนขนเฮโรอีน 2 คน ขนได้คนละ 5 แท่ง จำเลยที่ 3 เอากุญแจห้อง 615 ไปแล้วให้ดาบตำรวจณัฎฐพลรออยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม ต่อมาจำเลยที่ 3 กลับมาบอกดาบตำรวจณัฎฐพลว่าของจะมาแล้ว ดาบตำรวจณัฎฐพลนั่งรออยู่สักครู่จึงเห็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 เดินลงมาจากห้องพักแล้วมอบกุญแจห้องให้แก่จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ส่งมอบกุญแจห้องคืนให้แก่ดาบตำรวจณัฎฐพลแล้วบอกให้ขึ้นไปตรวจดูเฮโรอีน ดาบตำรวจณัฎฐพลตรวจดูแล้วพบเฮโรอีน 10 แท่ง อยู่ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง จึงโทรศัพท์แจ้งพันตำรวจเอกชยพจน์และทราบว่าพันตำรวจเอกชยพจน์กับพวกจับกุมจำเลยทั้งสามไว้ได้ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความได้ต่อเนื่องเชื่อมโยงและสมเหตุสมผล ประกอบกับพยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่และไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 3 มาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ต้องระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 3 ให้ต้องรับโทษด้วยข้อหาร้ายแรงเช่นนี้ เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความตามความเป็นจริง อีกทั้งก่อนจับกุมจำเลยที่ 3 พยานโจทก์ทั้งสองได้วางแผนล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่ 3 อย่างรัดกุมและเป็นขั้นเป็นตอน มีการติดต่อระหว่างจำเลยที่ 3 กับดาบตำรวจณัฎฐพลอย่างต่อเนื่องหลายครั้งหลายหน และโจทก์มีภาพถ่ายของจำเลยที่ 3 ที่แอบถ่ายไว้ มาแสดงเป็นหลักฐานสนับสนุนทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองมีน้ำหนักให้รับฟัง จำเลยที่ 3 เองก็นำสืบรับว่ามีการติดต่อและพบกับดาบตำรวจณัฎฐพลซึ่งปลอมตัวเป็นพ่อค้าทั้งที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย อันเป็นการเจือสมพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อและประสานงานการขายเฮโรอีนทั้งสองครั้งให้แก่ดาบตำรวจณัฎฐพลตั้งแต่ต้นจนกระทั่งส่งมอบเฮโรอีนของกลางและรับเงินค่าเฮโรอีน ปัญหาที่จำเลยที่ 3 กล่าวอ้างในฎีกาว่า กล้องวีดิทัศน์ที่ซ่อนไว้ในห้องและถ่ายภาพ ที่โจทก์อ้างส่งเป็นพยานหลักฐานนั้นบันทึกเสียงไว้ด้วย หากจำเลยที่ 3 เจรจาขายเฮโรอีนให้แก่ดาบตำรวจณัฎฐพลจริง ในชั้นพิจารณาโจทก์ชอบที่จะเปิดเสียงฟังการเจรจาเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยที่ 3 เห็นว่า ในคดีอาญาการนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยจะมากน้อยเพียงใดเป็นดุลพินิจของโจทก์ หากโจทก์เห็นว่าพยานหลักฐานที่นำสืบมามีน้ำหนักเพียงพอแล้วจะไม่นำพยานหลักฐานที่เป็นเสียงจากกล้องวีดิทัศน์มาสืบอีกก็ได้ ฎีกาอื่นของจำเลยที่ 3 นอกจากนี้ไม่เป็นสาระควรแก่การวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป พยานหลักฐานของจำเลยที่ 3 ที่ว่า จำเลยที่ 3 เพียงแต่ติดต่อขายอัญมณีให้แก่ดาบตำรวจณัฎฐพล แต่ดาบตำรวจณัฎฐพลขอให้จำเลยที่ 3 ช่วยนัดนางซ้อสองเพื่อซื้อเฮโรอีน จำเลยที่ 3 จึงช่วยติดต่อให้บุคคลทั้งสองรู้จักกันโดยจำเลยที่ 3 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายเฮโรอีนของกลางนั้น ไม่สมเหตุสมผลและขัดแย้งกับพฤติกรรมของจำเลยที่ 3 ตามที่โจทก์นำสืบมาโดยเฉพาะการเข้าห้องพักของดาบตำรวจณัฎฐพลที่โรงแรมซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นการดูเงินที่ล่อซื้อก่อนส่งมอบเฮโรอีนของกลางมากกว่าการดูอัญมณีตามที่ จำเลยที่ 3 นำสืบ จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาหนักแน่นมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตและร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง โจทก์มีคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ต่อกันทั้งสองสำนวนแม้เป็นคดีที่รวมพิจารณาเข้าด้วยกันและศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตทั้งสองสำนวนก็นับโทษต่อกันได้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่นับโทษต่อให้จึงไม่ถูกต้อง แต่โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ต่อกันได้
พิพากษายืน