แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2539 ซึ่งแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาว่า จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของจำเลยเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 เวลากลางวัน แต่ตามทางพิจารณาจำเลยเบิกความรับว่า จำเลยได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกที่ดินพิพาทของจำเลย โดยมิได้นำสืบต่อสู้เกี่ยวกับวันเวลาที่จำเลยไปแจ้งความ กรณีที่ข้อแตกต่างเป็นเพียงรายละเอียด เช่น เกี่ยวกับเวลา มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ และการที่โจทก์ฟ้องผิดไปนั้น มิได้เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ ดังนั้นหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 172 ต้องเป็นกรณีที่ผู้แจ้งข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จ โดยแกล้งกล่าวข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาให้ผิดไปจากความจริง เมื่อโจทก์และจำเลยต่างเข้าใจว่าตนมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทการที่จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ในข้อหาบุกรุก เป็นกรณีที่จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในทำนองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งมีเหตุการณ์ทำให้จำเลยเข้าใจว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมของบิดา และโจทก์ได้บุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของจำเลยโดยมิชอบด้วยกฎหมายนอกจากนี้เมื่อพนักงานสอบสวนปากคำจำเลย จำเลยก็ให้การรับว่าที่ดินของจำเลยดังกล่าวยังมีข้อพิพาทฟ้องร้องทางแพ่ง โต้เถียงกรรมสิทธิ์กันอยู่ระหว่างโจทก์กับจำเลย พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่า จำเลยมิได้มีเจตนาแกล้งเอาความเท็จไปกล่าวหาโจทก์ส่วนฝ่ายใดจะมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน เป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยจะต้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งต่อไป การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒ จำคุก ๑ ปี และปรับ ๒,๐๐๐ บาท โจทก์และจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ และ ๓๐
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน เดิมที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที ๒๓๑๕ ตำบลหนองผือ อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ มีชื่อ อ. บิดาโจทก์และจำเลยเป็นผู้ถือสิทธิครอบครอง และ อ. กับโจทก์ได้ร่วมกันครอบครอง ทำประโยชน์อยู่ในที่ดินดังกล่าว ต่อมาได้ไปทำพินัยกรรมต่อกรมการอำเภอเขาวงยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว และ อ. ได้ถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยได้ไปจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของตนตามพินัยกรรมดังกล่าว ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยได้ให้บุตรชายของจำเลยเข้าไปไถที่ดินพิพาทเพื่อปลูกข้าว แต่โจทก์ได้เข้าไปไถทับและหว่านข้าวในที่ดินพิพาทรวมทั้งทำรั้วล้อมรอบ วันเกิดเหตุคดีนี้คือวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๓๙ เวลาประมาณ ๑๑ นาฬิกา จำเลยได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเขาวงให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในข้อหาฐานบุกรุก ต่อมาวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๙ เจ้าพนักงานตำรวจได้ไปจับกุมโจทก์มาดำเนินคดี และพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องคดี ดังกล่าว แต่พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๙ ซึ่งแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาว่า จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์บุกรุกที่ดินของจำเลยเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๓๙ เวลากลางวัน แต่เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียด เช่น เกี่ยวกับเวลา มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่า การที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ แต่ตามทางพิจารณาจำเลยเบิกความรับว่า จำเลยได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์บุกรุกที่ดินพิพาทของจำเลยโดยมิได้นำสืบต่อสู้เกี่ยวกับวันเวลาที่จำเลยไปแจ้งความ แสดงว่า การที่โจทก์ฟ้องผิดไปนั้น มิได้เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ ดังนั้น หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง ศาลก็มีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า การที่จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์บุกรุกที่ดินพิพาท เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒ หรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานดังกล่าวต้องเป็นกรณีที่ผู้แจ้งข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จ โดยแกล้งกล่าวข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไปจากความจริง คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความจากกนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเขาวง พยานโจทก์ว่า วันเกิดเหตุ จำเลยได้ไปแจ้งความต่อพยานว่า โจทก์บุกรุกที่ดินพิพาทของจำเลยโดยจำเลยได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองมาแสดงโดยหนังสือรับรอบการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ดังกล่าวระบุว่าจำเลยได้รับโอนที่ดินมาทางมรดกตามพินัยกรรม ซึ่งความในข้อนี้โจทก์ก็เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยรับว่าที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) จำเลยได้รับโอนมรดกโดยอาศัยพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองจริง และต่อมาจำเลยได้นำที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ไปขอออกโฉนดที่ดิน โดยโจทก์ไม่เคยไปคัดค้าน และโจทก์ยังไม่ได้เบิกความรับอีกว่า โจทก์ได้เข้าไปครอบครองทำประโยชน์อยู่ในที่ดินพิพาทจริง โดยโจทก์อ้างว่า อ. เจ้ามรดกได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ก่อนถึงแก่ความตาย การที่จำเลยไปแจ้งความดังกล่าวต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาฐานบุกรุก จึงเห็นได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในทำนองเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งมีเหตุการณ์ทำให้จำเลยเข้าใจว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมของบิดา และโจทก์ได้บุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของจำเลยโดยมิชอบด้วยกฎหมายนอกจากนี้ยังปรากฏว่า เมื่อพนักงานสอบสวนสอบปากคำจำเลย จำเลยก็ได้ให้การรับว่าที่ดินของจำเลยดังกล่าวยังมีข้อพิพาทฟ้องร้องทางแพ่ง โต้เถียงกรรมสิทธิ์กันอยู่ระหว่างโจทก์กับจำเลย พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวมานี้ จึงแสดงให้เห็นว่า จำเลยมิได้มีเจตนาแกล้งเอาความเท็จไปกล่าวหาโจทก์ ส่วนฝ่ายใดจะมีสิทธิใน ที่ดินพิพาทดีกว่ากัน เป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยจะต้องไปว่ากล่าวในทางแพ่งต่อไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนดังที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน .