คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8385/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาทเนื้อที่ 14 ไร่ 35 ตารางวา ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและฟ้องแย้งว่าผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกคำร้องและพิพากษาให้ผู้ร้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของผู้คัดค้าน ส่วนผู้ร้องสอดทั้งสิบห้ายื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามอ้างว่าผู้ร้องครอบครองทำประโยชน์ที่ดินมีเนื้อที่เพียง 2 งานเศษ ส่วนที่เหลือผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าและชาวบ้านร่วมกันเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ขอให้พิพากษาให้ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้ากล่าวอ้างว่า ที่ดินพิพาทส่วนที่เกินเนื้อที่ 2 งานเศษ ที่ผู้ร้องอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์เป็นที่ดินที่ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ จึงมีข้อพิพาทโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านและเป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าโต้แย้งกรรมสิทธิ์ทั้งกับผู้ร้องและผู้คัดค้านในที่ดินส่วนดังกล่าว ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท จำเป็นต้องเข้ามาในคดีเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตน ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าจึงร้องสอดได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) แต่เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยผู้ร้องตกลงรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมทั้งบริวารออกจากที่ดินพิพาท ผู้ร้องยอมออกจากที่ดินพิพาทแล้ว และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม หากศาลฎีกาจะมีคำสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าเข้ามาเป็นคู่ความในคดี แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ทั้งหมดก็จะทำให้คดีต้องล่าช้าไม่เป็นประโยชน์แก่คู่กรณี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเห็นสมควรให้ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าไปฟ้องเป็นคดีใหม่

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 365 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้าน โดยทำประโยชน์และใช้เป็นที่อยู่อาศัยเนื้อที่ 14 ไร่ 35 ตารางวา ตั้งแต่ปี 2544 โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดขัดขวางหรือคัดค้าน ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 365 โดยการครอบครองปรปักษ์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและฟ้องแย้งขอให้ยกคำร้องและพิพากษาให้ผู้ร้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของผู้คัดค้าน และให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้คัดค้านเดือนละ 1,120,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของผู้คัดค้าน
ผู้ร้องให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้ายื่นคำร้องขอขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม เพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู่ และขอให้พิพากษาให้ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมโดยการครอบครองปรปักษ์
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องสอดแล้วมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีความจำเป็นที่ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าจะต้องเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม คำร้องของผู้ร้องสอดไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ จึงไม่รับคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำร้องสอด
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าฎีกาขอให้รับคำร้องสอด
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยผู้ร้องตกลงรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมทั้งบริวารออกจากที่ดินพิพาท… และขอให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าที่ว่า ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียกับผู้ร้องถือว่าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) และเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ขอให้รับคำร้องสอด เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 365 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้าน โดยทำประโยชน์และใช้เป็นที่อยู่อาศัย เนื้อที่ 14 ไร่ 35 ตารางวา ตั้งแต่ปี 2544 ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและฟ้องแย้งว่า เจ้าของที่ดินเดิมอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาอยู่อาศัยในที่ดิน เมื่อที่ดินตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ที่ดิน จึงยังคงอนุญาตให้ผู้ร้องอยู่อาศัยในที่ดินต่อมา ผู้ร้องไม่เคยบอกกล่าวหรือแสดงเจตนาให้เจ้าของที่ดินเดิมหรือผู้คัดค้านทราบว่าผู้ร้องเปลี่ยนลักษณะการยึดถือที่ดินเป็นการยึดถือที่ดินเพื่อตนเอง ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์และผู้คัดค้านไม่ประสงค์ให้ผู้ร้องอยู่อาศัยในที่ดินของผู้คัดค้านต่อไป ขอให้ยกคำร้องและพิพากษาให้ผู้ร้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของผู้คัดค้าน และให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนผู้ร้องสอดทั้งสิบห้ายื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามอ้างว่า ผู้ร้องครอบครองทำประโยชน์ที่ดินมีเนื้อที่เพียง 2 งานเศษ ส่วนที่เหลือผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าและชาวบ้านร่วมกันเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นสำนักปฏิบัติธรรม ตั้งแต่ปี 2544 โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าจึงเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ ขอให้พิพากษาให้ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมโดยการครอบครองปรปักษ์ ดังนี้เห็นได้ว่าตามคำร้องของผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าเป็นการกล่าวอ้างว่า ที่ดินที่ผู้ร้องอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ เนื้อที่ 14 ไร่ 35 ตารางวา ซึ่งมีชื่อผู้คัดค้านถือกรรมสิทธิ์นั้น ส่วนที่เกินเนื้อที่ 2 งานเศษ (13 ไร่ 2 งาน 35 ตารางวาเศษ) เป็นที่ดินที่ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ จึงมีข้อพิพาทโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้าน และเป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าโต้แย้งกรรมสิทธิ์ทั้งกับผู้ร้องและผู้คัดค้านในที่ดินส่วนดังกล่าว ตามคำร้องสอดจึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าอ้างว่าผู้ร้องสอดทั้งสิบห้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท มีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตน ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าจึงร้องสอดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) แต่เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยผู้ร้องตกลงรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมทั้งบริวารออกจากที่ดินพิพาท ผู้ร้องยอมออกจากที่ดินพิพาทแล้ว และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม ดังนี้หากศาลฎีกาจะมีคำสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าเข้ามาเป็นคู่ความในคดี แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ทั้งหมดก็จะทำให้คดีดังกล่าวข้างต้นต้องล่าช้าไม่เป็นประโยชน์แก่คู่กรณี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าไปฟ้องเป็นคดีใหม่ ฎีกาของผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ร้องสอดทั้งสิบห้าที่จะไปฟ้องคดีใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share