แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ จำเลยต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วยแม้ก่อนหน้าในวันที่โจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยนั้น จำเลยจะวางเงินชำระหนี้แก่โจทก์ 1,000,000 บาท ก็เป็นการชำระหนี้เพียงบางส่วนยังมีหนี้ตามคำพิพากษาอยู่อีกถึง 1,965,741.45 บาท ชอบที่โจทก์จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่เหลือได้และแม้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจะมีราคาสูง แต่ก็เป็นทรัพย์สินที่จำเลยวางเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษาในชั้นทุเลาการบังคับโดยสภาพไม่สมควรแบ่งการยึดระหว่างที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพราะอาจทำให้ทรัพย์สินเสื่อมราคา การกระทำของโจทก์หาใช่ทำให้ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในกระบวนพิจารณาใด ๆ ที่ได้ดำเนินไปโดยไม่จำเป็นซึ่งโจทก์ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระเงิน 1,904,284.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษา วันที่ 2 พฤษภาคม 2540 จำเลยวางเงินเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์เพียงบางส่วนเป็นเงิน 1,000,000 บาท วันที่ 8พฤษภาคม 2540 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 16363ตำบลราษฎร์นิยม (ละหาร) อำเภอไทรน้อย (บางบัวทอง) จังหวัดนนทบุรีที่จำเลยนำมาวางประกันการชำระหนี้ในการทุเลาการบังคับชั้นฎีกาเพื่อออกขายทอดตลาด วันที่ 3 มิถุนายน 2540 และวันที่ 20 มิถุนายน 2540จำเลยนำเงินมาวางชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีกจนครบจำนวนหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำบัญชีแสดงรายการรับจ่ายแล้วให้โจทก์รับผิดชอบค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายเป็นเงิน 315,000 บาท
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยวางเงินชำระหนี้ก่อนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลย แต่เงินที่วางไม่ครบจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์จึงย่อมมีสิทธิบังคับคดีจำเลยต่อไป ดังนั้น การที่จำเลยวางเงินภายหลังการยึดทรัพย์จนครบถ้วนจนมีการถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1) จำเลยต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์สินซึ่งมิใช่เป็นตัวเงินแล้วไม่มีการขาย จึงให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่สั่งให้โจทก์รับผิดค่าธรรมเนียมถอนการยึด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้โจทก์รับผิดชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งมิใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ตามตาราง 5(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง 5(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่ เห็นว่า ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียม ซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ในวันที่โจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยนั้น แม้ก่อนหน้านั้นจำเลยจะวางเงินชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 1,000,000 บาท ก็ตาม แต่ก็เป็นการชำระหนี้เพียงบางส่วน ยังมีหนี้ตามคำพิพากษาที่ปรากฏในบัญชีแสดงรายการรับจ่ายของเจ้าพนักงานบังคับคดีอยู่อีกถึง 1,965,741.45 บาทไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้เพื่อให้โอกาสจำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่จำเลยยังค้างชำระ จึงชอบที่โจทก์จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่เหลือได้ และนับว่าเป็นความผิดของจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีที่ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้ครบถ้วน จำเลยจึงมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ตามที่บัญญัติไว้ในตาราง 5(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แม้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดดังกล่าวจะมีราคาสูง แต่ก็เป็นทรัพย์สินที่จำเลยวางเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษาในชั้นทุเลาการบังคับ และโดยสภาพไม่สมควรแบ่งการยึดระหว่างที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพราะอาจทำให้ทรัพย์สินเสื่อมราคา การกระทำของโจทก์ดังกล่าวรวมตลอดทั้งการที่จำเลยวางเงินชำระหนี้อีกสองครั้งภายหลังโจทก์นำยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้ว หาใช่เป็นกรณีที่ทำให้ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในกระบวนพิจารณาใด ๆ ที่ได้ดำเนินไปโดยไม่จำเป็นซึ่งโจทก์ต้องรับผิดชำระดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 166 แต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้โจทก์รับผิดชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง 5(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในข้ออื่นต่อไป”
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำสั่งศาลชั้นต้น