คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8382/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ร่วมทำสัญญาจ้างกับกรมทางหลวง โดยให้บริการรับเป็นที่ปรึกษาโครงการฯ แต่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ไม่สามารถส่งมอบงานตามส่วนที่ได้รับมอบหมายให้โจทก์เพื่อส่งมอบให้กรมทางหลวงได้ภายในระยะเวลาตามสัญญา ทำให้โจทก์เสียหายต้องชำระค่าปรับ ไม่สามารถรับค่าจ้างที่เหลือ รวมทั้งเงินประกันผลงาน ข้อหาตามฟ้องโจทก์จึงเป็นเรื่องผิดสัญญา ฎีกาของโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์เป็นส่วนตัวในฐานละเมิด โดยอ้างว่า จำเลยที่ 2 ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 5,649,084.56 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 4,942,575 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 5,649,084.56 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 4,492,575 บาท นับแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2556 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,942,575 บาท นับแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2556 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท ให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทจำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 โดยกล่าวอ้างมาในคำฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ร่วมทำสัญญาจ้างกับกรมทางหลวง โดยให้บริการรับเป็นที่ปรึกษา แต่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ไม่สามารถส่งมอบงานตามส่วนที่รับมอบหมายส่งให้โจทก์ เพื่อส่งมอบงานให้แก่กรมทางหลวงได้ภายในระยะเวลาตามสัญญา การกระทำของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ที่ปฏิบัติงานล่าช้าทำให้โจทก์ไม่สามารถส่งงานให้แก่กรมทางหลวงได้ทัน โจทก์ได้รับความเสียหายต้องชำระค่าปรับเหตุล่าช้าให้แก่กรมทางหลวงและไม่สามารถรับค่าจ้างที่เหลือ รวมทั้งเงินประกันผลงานคิดเป็นเงินค่าผิดสัญญา ค่าปรับ และค่าเสียหาย จำนวนทั้งสิ้น 5,649,084.56 บาท ข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นเรื่องผิดสัญญา ฎีกาของโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดเป็นส่วนตัวในฐานละเมิด โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง มิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ซึ่งใช้บังคับขณะยื่นฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป โดยโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2558 การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2556 เห็นได้ชัดว่า เป็นการพิมพ์ผิดอันเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ โดยให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2558 เป็นต้นไป คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share