แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กรอกรายการยอดขายที่ต้องเสียบภาษีในอัตราร้อยละ0ขาดไป1,000,000บาทจึงเป็นกรณีที่โจทก์ในฐานะผู้ประกอบการจดทะเบียนยื่นแบนแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วนโจทก์มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับชำระภาษีถ้ามีให้ถูกต้องครบถ้วนแต่ถ้าไม่มีจำนวนภาษีในเดือนภาษีเปลี่ยนแปลงไปผู้ประกอบการจดทะเบียนก็ยังคงมีหน้าที่มายื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งให้ถูกต้องโดยไม่ต้องชำระภาษีแต่อย่างใดตามประมวลรัษฎากรมาตรา83/4คดีนี้โจทก์ส่งสินค้าประเภทเซรามิคไปขายที่ประเทศมาเลเซียและประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นการส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักรเพื่อส่งไปต่างประเทศอันเป็นการส่งออกตามนัยมาตรา77/1(14)แห่งประมวลรัษฎากรโจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนสำหรับการประกอบกิจการประเภทการส่งออกสินค้าที่มิใช่การส่งออกสินค้าซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา81(3)แต่ตามมาตรา80/1(1)แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ0ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มแม้โจทก์จะยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องแต่โจทก์ไม่มีจำนวนภาษีในเดือนภาษีที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเปลี่ยนแปลงไปที่โจทก์จะต้องนำมาชำระให้ถูกต้องพร้อมกับยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมตามมาตรา83/4แห่งประมวลรัษฎากรดังนี้กรณีของโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามมาตรา89(4)และ89/1แห่งประมวลรัษฎากร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมสังกัดกระทรวงการคลัง จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4เป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2537 โจทก์ส่งสินค้าประเภทเซรามิคไปจำหน่ายต่างประเทศ 3 ครั้ง ราคารวมทั้งสิ้น 1,117,558.22 บาท ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มโดยระบุยอดขายที่เสียภาษีขาดไป 1,000,000 บาท เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 จึงได้ทำการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มเป็นเงินรวม107,112 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วย ได้อุทธรณ์คัดค้านว่าโจทก์เพียงแต่บกพร่องในเรื่องการกรอกรายการภาษีมูลค่าเพิ่มไม่มีเจตนาทุจริตหลีกเลี่ยงภาษี คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบแล้ว ให้ยกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วยกล่าวคือ สินค้าของโจทก์ได้รับการยกเว้นอากรตามประมวลรัษฎากร แม้โจทก์กรอกรายการภาษีมูลค่าเพิ่มยอดขายขาดไปโจทก์ก็ไม่ต้องเสียภาษีในส่วนที่ขาดนี้ ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ฉบับลงวันที่ 5 เมษายน 2538
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้วเนื่องจากเป็นการประเมินด้วยระบบสารสนเทศ คอมพิวเตอร์จากแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มของโจทก์ ทำให้ทราบว่าภาษีขายที่ประมวลผลได้แตกต่างจากที่โจทก์ยื่นแสดงรายการในแบบซึ่งแม้ยอดขายตามกรณีของโจทก์จะได้รับการยกเว้นอากรแต่ก็เป็นกรณียกเว้นอากรเนื่องจากอยู่ในอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 0 ที่ต้องอยู่ในวงจรควบคุมของระบบภาษีมูลค่าเพิ่มดังนั้นความถูกต้องในการแสดงแบบภาษีมูลค่าเพิ่มจึงมีความจำเป็นต่อระบบจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หากโจทก์แสดงแบบไม่ถูกต้องย่อมเป็นการเสียหายต่อเนื่องในฐานข้อมูลระบบจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและระบบจัดเก็บภาษีเงินได้อื่น ๆ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มให้ถูกต้องตามมาตรา 83/4 แห่งประมวลรัษฎากรเมื่อโจทก์แสดงรายการในแบบไม่ถูกต้องดังกล่าว โจทก์จึงต้องชำระภาษีพร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามการประเมิน แล้วยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมอีกครั้งเพื่อปรับปรุงให้ตรงตามข้อเท็จจริงโจทก์จึงจะมีสิทธิได้รับเงินภาษีที่ประเมินไว้แล้วคืนได้ แต่โจทก์กลับเพิกเฉย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขทึ่ กค.0842/1928 ลงวันที่5 เมษายน 2538
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่แถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าเมื่อวันที่ 4,23 และ 25 พฤษภาคม 2537 โจทก์ส่งสินค้าประเภทเซรามิคไปขายที่ประเทศมาเลเซีย 2 ครั้ง และประเทศอินโดนีเซีย 1 ครั้งเป็นมูลค่า 423,681 บาท 272,029.22 บาท และ 421,848 บาทโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30)ตามประมวลรัษฎากร ว่า เดือนพฤษภาคม ปี 2537 มียอดขายที่ต้องเสียภาษีจำนวน 175,000 บาท ยอดภาษีซื้อที่มีสิทธินำมาหักจำนวน161,748.33 บาท ภาษีสุทธิที่ต้องชำระเงินเป็นเงิน 927.62 บาทต่อมาวันที่ 8 สิงหาคม 2537 จำเลยที่ 1 ได้ประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม(ภ.พ.73) ให้โจทก์ชำระเงินภาษีจำนวน 107,112 บาท โดยอ้างว่าโจทก์ระบุยอดขายที่เสียภาษีขาดหายไป 1,000,000 บาท โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านไปยังคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่า คำวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลางซึ่งวินิจฉัยว่ากรณีของโจทก์ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 83/4 แห่งประมวลรัษฎากรเนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวเป็นกรณีที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้อง แล้วเป็นเหตุให้จำนวนภาษีในเดือนภาษีเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น เมื่อกรณีของโจทก์ยื่นแบบแล้วไม่เป็นเหตุให้จำนวนภาษีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา 83/4 แห่งประมวลรัษฎากรไม่จำต้องชำระภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินและตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ข้อวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลางเป็นการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อนต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติกฎหมายนั้น เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 83/4 แห่งประมวลรัษฎากรบัญญัติว่า “ภายใต้บังคับส่วน 13 และส่วน 14 ในกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วน ไม่ว่าการคลาดเคลื่อนนั้นจะเป็นเหตุให้จำนวนภาษีในเดือนภาษีเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ก็ตาม ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับชำระภาษีถ้ามีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยยื่น ณ สถานที่ที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ก่อน” เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์กรอกรายการยอดขายที่ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 ขาดไป 1,000,000 บาทจริง จึงเป็นกรณีที่โจทก์ในฐานะผู้ประกอบการจดทะเบียนยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วน โจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับชำระภาษีถ้ามี ให้ถูกต้องครบถ้วน แต่ถ้าไม่มีจำนวนภาษีในเดือนภาษีเปลี่ยนแปลงไป ผู้ประกอบการจดทะเบียนก็ยังคงมีหน้าที่มายื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งให้ถูกต้อง โดยไม่ต้องชำระภาษีแต่อย่างใดข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า โจทก์ส่งสินค้าประเภทเซรามิคไปขายที่ประเทศมาเลเซียและประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นการส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักรเพื่อส่งไปต่างประเทศอันเป็นการส่งออกตามนัย มาตรา 77/1(14) แห่งประมวลรัษฎากรโจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนสำหรับการประกอบกิจการประเภทการส่งออกสินค้าที่มิใช่การส่งออกสินค้าซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81(3) แต่ตามมาตรา 80/1(1) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้โจทก์จะยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องแต่โจทก์ไม่มีจำนวนภาษีในเดือนภาษีที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 1 เปลี่ยนแปลงไปที่โจทก์จะต้องนำมาชำระให้ถูกต้องพร้อมกับยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมตามมาตรา 83/4 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้ กรณีของโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามมาตรา 89(4) และ 89/1แห่งประมวลรัษฎากร
พิพากษายืน