แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้จำเลยที่ 2-3-4 ในฐานะผู้ค้ำประกันยอมใช้เงินให้โจทก์เป็นเงินจำนวนหนึ่งและดอกเบี้ย และศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น มีผลเท่ากับว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินให้แก่โจทก์ก่อน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจะใช้ได้ ก็ให้จำเลยที่ 2-3-4 ใช้แทนจนครบ ฉะนั้นโจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อนโจทก์จะเกี่ยงว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินอยู่น้อยแก่การบังคับ จึงจะบังคับเอาแก่จำเลยที่ 2-3-4 นั้น ย่อมฟังไม่ขึ้น เพราะตราบใดที่ลูกหนี้ชั้นต้นยังมีทรัพย์สินที่จะบังคับชำระหนี้ได้อยู่ โจทก์จะต้องบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ชั้นต้นนั้นก่อน เมื่อไม่พอจึงจะบังคับชำระหนี้เอาจากผู้ค้ำประกัน (อ้างฎีกาที่ 827/2483)
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาล มีข้อความว่า จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้กู้ จำเลยที่ ๒,๓,๔ ในฐานะผู้ค้ำประกัน ยอมใช้เงินให้โจทก์ ๖๐๙๑๗๘ บาท และดอกเบี้ยในต้นเงินนี้อัตราร้อยละ ๑๐ ต่อไป นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ ศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เมื่อพ้นกำหนด จำเลยมิได้ปฏิบัติตามยอมโจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้ง ๔ คน แต่โจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ ๓ แต่ผู้เดียว จำเลยที่ ๓ จึงขอให้ดำเนินการบังคับเอากับจำเลยที่ ๑ ก่อน ถ้าไม่เพียงพอจึงให้บังคับเอาจากผู้ค้ำประกันทั้ง ๓ คนพร้อม ๆ กัน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ทางไต่สวนไม่ได้ความว่าลูกหนี้มีทางที่จะชำระหนี้ได้ และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ไม่เป็นการยากตาม ป.มงแพ่งฯมาตรา ๖๘๙ จึงให้ยกคำร้องของจำเลยที่ ๓ เสีย
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ก่อนหากไม่พอจึงให้บังคับเอาจากผู้ค้ำประกัน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฐานะผู้กู้และฐานะผู้ค้ำประกันนั้น ตามกฎหมายย่อมเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้วว่ามีต่างกัน เป็นลูกหนี้ชั้นต้นและลูกหนี้ในฐานค้ำประกัน คำพิพากษาตามสัญญายอมความนั้น จึงมีผลเท่ากับว่าให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินให้แก่โจทก์ก่อน ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถจะใช้ได้ ก็ให้จำเลยที่ ๒-๓-๔ ใช้แทนจนครบฉะนั้นโจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้ เอากับทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ก่อนทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ โจทก์ก็แถลงรับว่ามีอยู่แต่เกี่ยงว่ามีน้อยและยากแก่การบังคับ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าฟังไม่ขึ้นเพราะตราบใดที่ลูกหนี้ชั้นต้นยังมีทรัพย์สินที่จะบังคับชำระหนี้ได้อยู่โจทก์จะต้องบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ชั้นต้นก่อนเมื่อไม่พอจึงจะบังคับชำระหนี้เอาจากผู้ค้ำประกัน ดังที่ได้วินิจฉัยไว้ในฎีกาที่ ๘๒๗/๒๔๘๓
จึงพิพากษายืน