แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เหตุเกิดในเวลากลางวัน ผู้เสียหายเห็นจำเลย 2 ครั้ง ในขณะจำเลยขอซื้อน้ำแข็งและขณะผู้เสียหายตักน้ำแข็งใส่จอกซึ่งซ้อนกันเป็นระยะเวลานานพอที่จะจำจำเลยได้ โดยผู้เสียหายเห็นจำเลยในระยะห่างกันเพียง 1 ศอก ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับพวกก็ขับรถวนเวียนผ่านไปมาที่บ้านชะลอรถและมองมาที่ผู้เสียหาย นาง จ. พยานโจทก์อีกปากซึ่งนั่งอยู่ที่หน้าบ้านเกิดเหตุจึงจำจำเลยได้ เมื่อจำเลยถูกจับกุม พยานโจทก์ทั้งสองก็ชี้ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้าย ในขณะที่จำเลยยืนปะปนอยู่กับบุคคลอื่น และพยานโจทก์ทั้งสองไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน ศาลเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองจำจำเลยได้ รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยใช้ก่อนและหลังการวิ่งราวทรัพย์ หาได้ใช้ในการวิ่งราวทรัพย์ไม่จึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด ศาลจึงไม่อาจริบได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33,83, 336, 336 ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ (ฉบับที่ 11) ลงวันที่21 ตุลาคม 2514 ข้อ 13 ให้จำเลยคืนหรือชดใช้ราคาสร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 3,000 บาท แก่ผู้เสียหายและริบของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุก 5 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 3,000 บาท แก่ผู้เสียหายริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่เจ้าของ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ได้มีคนร้ายวิ่งราวทรัพย์สร้อยคอทองคำจำนวน 1 เส้น พร้อมด้วยพระเครื่องเลี่ยมทอง 1 องค์ ราคารวมกันประมาณ 3,000 บาท ของนางสมศรี ขำประสิทธิ์ ผู้เสียหายไปโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะหลบหนีไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่า ขณะจำเลยมาขอซื้อน้ำแข็งผู้เสียหายลุกขึ้นใช้ช้อนตักน้ำแข็งใส่จอก แต่ยังไม่ทันเต็มก็เห็นจอกซ้อนกัน ผู้เสียหายจึงมองไปที่จำเลยซึ่งยืนห่างผู้เสียหายประมาณ 1 ศอก และดึงจอกอีกใบหนึ่งออกก้มลงตักน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่ง จำเลยก็กระชากสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายสวมอยู่กระโดดลงจากบ้านผู้เสียหายวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์สีเทาเข้มคล้ายสีเลือดหมู ติดสติกเกอร์กองปราบปรามที่บังโคลนท้าย ด้านหลังซึ่งมีชายอีกคนหนึ่งติดเครื่องรออยู่หลบหนีไป หลังเกิดเหตุผู้เสียหายได้เล่าเหตุการณ์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามฟังต่อมาประมาณ 7 วัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนร้ายได้ให้ผู้เสียหายไปดูตัวขณะนั้นมีคนร้ายอยู่ในห้องสำหรับชี้ตัว 2 คน ผู้เสียหายชี้จำเลยยืนยันว่าเป็นคนร้าย หลังจากนั้นหลายวันเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ผู้เสียหายชี้ตัวคนร้ายอีกครั้งหนึ่งโดยให้จำเลยยืนปะปนกับคนอื่นอีกหลายคน ผู้เสียหายชี้จำเลยตามภาพถ่ายและบันทึกการชี้ตัวเอกสารหมาย จ.1, จ.3 และ จ.5 นางจันทร์ฉาย พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุพยาน สามี และผู้เสียหายนั่งอยู่ที่หน้าบ้าน เห็นชาย 2 คน ขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าสีเทาเข้ม ผ่านหน้าบ้านชะลอรถมองมาที่ผู้เสียหายในระยะห่างประมาณ 4 เมตร จำเลยนั่งซ้อนท้าย หลังจากพยานเข้าไปในบ้านประมาณ 15 นาที ได้ยินเสียงผู้เสียหายร้องตะโกนจึงทราบว่าผู้เสียหายถูกคนร้ายกระชากสร้อย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนร้ายได้พยานไปดูจำเลยสองครั้งที่สถานีตำรวจ พยานจำได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายปรากฏตามภาพถ่ายและบันทึกเอกสารหมาย จ.2 และ จ.5เห็นว่า เหตุเกิดในเวลากลางวัน ผู้เสียหายเห็นจำเลย 2 ครั้งในขณะจำเลยขอซื้อน้ำแข็งและขณะผู้เสียหายตักน้ำแข็งซึ่งจอดซ้อนกันเป็นระยะเวลานานพอที่จะจำจำเลยได้ โดยผู้เสียหายเห็นจำเลยในระยะห่างกันเพียง 1 ศอก ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับพวกก็ขับรถวนเวียนผ่านไปมาที่บ้านชะลอรถและมองมาที่ผู้เสียหาย นางจันทร์ฉายจึงจำจำเลยได้ เมื่อจำเลยถูกจับกุมพยานโจทก์ทั้งสองก็ชี้ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้าย การที่พยานโจทก์ดังกล่าวไปดูตัวจำเลยทั้ง 2 ครั้งจำเลยก็ยืนปะปนอยู่กับบุคคลอื่น และพยานทั้งสองก็ไม่รู้จักจำเลยมาก่อนเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองจำจำเลยได้และเบิกความไปตามจริงนอกจากนี้ โจทก์ยังมีร้อยตำรวจตรีเสริมพันธ์ ศิริคงพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่า พยานได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่าคนร้าย 2 คน ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะวิ่งราวทรัพย์สร้อยคอของผู้เสียหาย ผู้เสียหายจำคนร้ายได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง และรถจักรยานยนต์ที่ยึดมาจอดรวมกับรถคันอื่นประมาณ 5 คัน มามอบให้พยาน พยานจัดให้ผู้เสียหายและนางจันทร์ฉายมาดูตัวจำเลย ผู้เสียหายและนางจันทร์ฉายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายและรถที่ยึดมาเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำผิด ต่อมาภายหลัง พยานให้จำเลยยืนปะปนกับบุคคลอื่น ให้ผู้เสียหายและนางจันทร์ฉายเข้าชี้ทีละคนพยานดังกล่าวชี้จำเลย แสดงว่าร้อยตำรวจตรีเสริมพันธุ์กระทำการตามหน้าที่มิได้ชี้ชวนจูงใจให้ผู้เสียหายและนางจันทร์ฉายชี้ตัวจำเลย ทั้งพยานโจทก์ทั้งสองทำการชี้ตัวจำเลยด้วยตนเองไม่เป็นพิรุธน่าสงสัยแต่ประการใด พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักฟังลงโทษจำเลยได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายวิ่งราวทรัพย์ผู้เสียหาย ฎีกาโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางนั้นเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยใช้ ก่อนและหลังการวิ่งราวทรัพย์หาได้ใช้ในการวิ่งราวทรัพย์ไม่ จึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด ศาลจึงไม่อาจริบได้”
พิพากษากลับว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง