แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ ( ภริยา ) ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลย ( สามี ) ไปจดทะเบียนการหย่ากับโจทก์ หากไม่สามารถไปก็ขอให้มีคำสั่งให้กรมการอำเภอจดทะเบียนการหย่าให้โจทก์ ทั้งนี้โดยโจทก์อ้างเหตุว่าโจทก์จำเลยทะเลาะกันแล้วตกลงหย่ากันโดยทำหนังสือหย่ากันแล้วจำเลยก็ได้ขนทรัพย์สิ่งของอพยพไปอยู่ภูมิลำเนาเดิมของจำเลย มิได้เกี่ยวข้องกับโจทก์แต่อย่างใดเกิน 1 ปี ดังนี้ แม้หนังสือหย่าจะไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ศาลก็พิจารณาเหตุ ข้อที่ร้างเกิน 1 ปีเห็นเหตุหย่าได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้จดทะเบียนสมรสกันเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๗ ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๙๑ โจทก์กับจำเลยทะเลาะกัน ในที่สุดตกลงหย่าขอแบ่งทรัพย์กันตามสำเนาหนังสือท้ายฟั้อง แล้วจำเลยก็ขนทรัพย์สิ่งของไปอยู่บ้านของจำเลย โดยมิได้มาเกี่ยวข้องกับโจทก์เป็นเวลาเกิน ๑ ปี โจทก์ติดต่อให้จำเลยจดทะเบียนการหย่า จำเลยก็ผัดเพี้ยนเรื่อย ๆ ในที่สุดไม่ยอมไปจดทะเบียนการหย่า โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนการหย่า หรือสั่งให้กรมการอำเภอจดทะเบียนการหย่าให้แก่โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า หนังสือหย่าไม่สมบูรณ์ เพราะโจทก์ไม่ได้เซ็นชื่อ คดีขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า หนังสือหย่าไม่สมบูรณ์จริง แต่จำเลยจงใจทิ้งร้างโจทก์ไปเกิน ๑ ปี จึงพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อหนังสือหย่าไม่สมบูรณ์ ศาลก็ต้องยกฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นไปพิจารณาถึงข้อทิ้งร้าง อ้างเป็นเหตุหย่านั้น นอกประเด็นแห่งคำขอจึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายไว้ด้วยว่า ” จำเลยได้ขนทรัพย์สิ่งของอพยพไปอยู่ภูมิลำเนาเดิมของจำเลยตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้ มิได้มาเกี่ยวข้องกับโจทก์แต่อย่างใด เป็นเวลาเกิน ๑ ปีแล้ว ” ซึ่งเป็นเหตุหย่าตามกฎหมาย ฉะนั้นการที่ศาลพิจารณาสืบพยานในข้อนี้ จึงไม่เป็นการนอกคำฟ้อง ส่วนคำขอท้ายฟ้อง แม้โจทก์ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งไปให้กรมการอำเภอจดทะเบียนการหย่าให้ แต่ความมุ่งหมายก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการขอหย่านั้นเอง จึงเป็นเรื่องไม่ใช่นอกคำขอ แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยถึงเหตุหย่า จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาประเด็นข้อเท็จจริงในสำนวนต่อไป แล้วพิพากษาใหม่