คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8345/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องในช่องชื่อโจทก์ มิได้ระบุแต่ชื่อ ป. เป็นโจทก์ แต่มีชื่อบุคคลธรรมดาระบุต่อท้ายชื่อดังกล่าว โดย ย. และตามคำฟ้อง ข้อ 1 บรรยายว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการพาณิชยกิจตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ.2499 ชื่อ ป. ตามใบทะเบียนพาณิชย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง เอกสารดังกล่าวระบุว่า ใบสำคัญนี้ออกให้เพื่อแสดงว่า ย. ได้จดทะเบียนพาณิชย์ ใช้ชื่อในการประกอบการพาณิชยกิจว่า ป. แสดงว่า โจทก์คือ ย. ในฐานะบุคคลธรรมดาได้จดทะเบียนเป็นประกอบการพาณิชยกิจ โดย ย. จะใช้ชื่อดังกล่าวในการประกอบธุรกิจทางการค้า เท่ากับ ย. ประกอบกิจการเป็นการส่วนบุคคล และเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการประกอบกิจการของตนในนามชื่อทางการค้าดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการเข้าทำสัญญาคดีนี้ ย. จึงเป็นเจ้าของและประกอบกิจการในฐานะบุคคลธรรมดาในนามชื่อทางการค้าดังกล่าว ย. จึงมีอำนาจฟ้องเป็นการส่วนตัว และเป็นโจทก์ผู้ฟ้องคดีนี้ หาใช่ใช้ชื่อในการประกอบพาณิชยกิจที่ได้จดทะเบียนเป็นโจทก์ฟ้องตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 471,538.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 395,820.14 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระโจทก์เสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 120,497.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระโจทก์เสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องในช่องชื่อโจทก์ มิได้ระบุแต่ชื่อ เป๊ปคอน เมอร์แคนไทล์ เป็นโจทก์ แต่มีชื่อบุคคลธรรมดาระบุต่อท้ายชื่อดังกล่าวด้วยว่า โดยนายยมสิทธิ์ และตามคำฟ้อง ข้อ 1 บรรยายว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการพาณิชยกิจตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ.2499 ชื่อ เป๊ปคอน เมอร์แคนไทล์ ตามใบทะเบียนพาณิชย์เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง เอกสารดังกล่าวระบุว่า ใบสำคัญนี้ออกให้เพื่อแสดงว่า นายยมสิทธิ์ ได้จดทะเบียนพาณิชย์ ใช้ชื่อในการประกอบการพาณิชยกิจว่า เป๊ปคอน เมอร์แคนไทล์ แสดงว่า โจทก์คือ นายยมสิทธิ์ ในฐานะบุคคลธรรมดาได้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการพาณิชยกิจ โดยนายยมสิทธิ์จะใช้ชื่อดังกล่าวในการประกอบธุรกิจทางการค้า เท่ากับนายยมสิทธิ์ประกอบกิจการเป็นการส่วนบุคคล และเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการประกอบกิจการของตนในนามชื่อทางการค้าดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการเข้าทำสัญญาคดีนี้ โดยนายยมสิทธิ์เป็นผู้รับจ้างในนาม เป๊ปคอน เมอร์แคนไทล์ ตามสัญญาว่าจ้างเอกสารท้ายฟ้อง ซึ่งตามเอกสารนี้ได้แนบใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ระบุชื่อผู้ประกอบการ คือ นายยมสิทธิ์ นายยมสิทธิ์จึงเป็นเจ้าของและประกอบกิจการในฐานะบุคคลธรรมดาในนามชื่อทางการค้าดังกล่าว นายยมสิทธิ์จึงมีอำนาจฟ้องเป็นการส่วนตัว และเป็นโจทก์ผู้ฟ้องคดีนี้ หาใช่ใช้ชื่อในการประกอบพาณิชยกิจที่ได้จดทะเบียนเป็นโจทก์ฟ้องตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น เมื่อคดีมีประเด็นในชั้นฎีกาเพียงว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ คดีจึงจำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นตามอุทธรณ์ของโจทก์และอุทธรณ์ของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป
อนึ่ง โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง และข้อเท็จจริงในปัญหาข้อนี้ยังไม่ได้นำสืบในรายละเอียด เพราะมิได้กำหนดเป็นประเด็นพิพาทไว้ในศาลชั้นต้น ขอให้ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเพิ่มเติมในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี มิได้เป็นฎีกาที่ขอให้โจทก์ชนะคดี จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณราคาเป็นเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาเป็นเงิน 5,948 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และอุทธรณ์ของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์

Share