คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 970/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ซื้อไม้และวัสดุก่อสร้างไปจากโจทก์เพื่อใช้ในการก่อสร้างบ้านจัดสรร จำเลยที่ 2 และที่ 3 เคยแจ้งต่อผู้จัดการของโจทก์ว่าเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในสถานที่ก่อสร้างมีป้ายโฆษณาว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดสรรบ้านและที่ดินผู้จัดการของโจทก์เคยไปรับเงินค่าวัสดุก่อสร้างที่สำนักงานของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2เคยพาโจทก์ไปพบจำเลยที่ 1 และสมุหบัญชีของจำเลยที่ 1 ผัดหนี้กับโจทก์ จำเลยที่ 2 ที่ 3 เคยพาผู้รับเหมาตกแต่งบ้านจัดสรรแห่งนี้ไปรับเงินที่จำเลยที่ 1 มีการพิมพ์แผ่นใบปลิวโฆษณาระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ร่วมจัดสรรที่ดิน พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการแสดงออกต่อโจทก์และบุคคลภายนอกว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกิจการจัดสรรบ้านและที่ดินเอง โดยเชิดจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในหนี้สินที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อไม้และวัสดุก่อสร้างไปจากโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินได้จัดสรรเป็นแปลง ๆ ปลูกบ้านให้เช่าซื้อ โดยมอบให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 กระทำการแทน จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ได้สั่งซื้อไม้และวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ จากโจทก์อ้างว่าเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 โจทก์ตกลงขายและนำส่งสิ่งของให้ครบถ้วนแล้ว จำเลยยังคงค้างค่าสิ่งของอยู่ 175,144 บาท จำเลยที่ 3 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่าไม่ได้ปลูกบ้านให้เช่าซื้อ จำเลยที่ 2 ได้กู้เงินจำเลยที่ 1ไปปลูกบ้านให้เช่าซื้อ จำเลยที่ 3 รับเหมาไปทำ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้สั่งซื้อวัสดุก่อสร้างตามที่โจทก์อ้าง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่รับรองว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลและอำนาจฟ้องของนายพรเทพ สกุลลีลารัศมี จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 นายพิชัยได้ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 2 แล้วนำไปขายให้จำเลยที่ 1 ต่มมานายพิชัยได้ดำเนินการสร้างบ้านขายพร้อมที่ดิน แต่นายพิชัยละทิ้งหลบหนีไปก่อนจัดสรรเสร็จจำเลยที่ 2 กู้เงินจำเลยที่ 1 มาจ้างจำเลยที่ 3 สร้างบ้านต่อจนเสร็จ และชำระเงินให้จำเลยที่ 3 ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่เคยติดต่อหรือมอบให้ใครซื้อไม้หรือวัสดุก่อสร้างจากโจทก์

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการก่อสร้างบ้านจัดสรรตามฟ้อง เดิมจำเลยที่ 1 มอบนายพิชัยควบคุมงานก่อสร้าง นายพิชัยโกงผู้เช่าซื้อ จำเลยที่ 1 จึงมอบให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ดำเนินการก่อสร้างแทนจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีนายพรเทพ สกุลลีลารัศมีเป็นผู้จัดการมีอำนาจฟ้องคดีแทน จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 สั่งซื้อไม้และวัสดุก่อสร้างจากโจทก์ ค้างชำระตามฟ้อง พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินให้โจทก์ 175,144 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 20 กันยายน 2517 จนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ได้ซื้อไม้และวัสดุก่อสร้างไปจากโจทก์เพื่อใช้ในการก่อสร้างบ้านจัดสรรรายนี้ โดยชำระราคาให้บ้างแล้ว ยังค้างอยู่ตามจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้อง มีปัญหาว่าจำเลยที่ 2และจำเลยที่ 3 ซื้อเป็นส่วนตัวหรือในฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิด นายพรเทพหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ยืนยันว่าจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 แจ้งว่าเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการก่อสร้างบ้านและซื้อวัสดุก่อสร้างบ้านจัดสรรแห่งนี้ นายพรเทพได้ไปดูสถานที่ก่อสร้างเห็นติดตั้งป้ายโฆษณาว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดสรรบ้านและที่ดินแห่งนี้ นายพรเทพเคยไปรับเงินค่าวัสดุก่อสร้างที่สำนักงานของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เคยพาโจทก์ไปพบจำเลยที่ 1 และนายสันต์ชัยสมุหบัญชีของจำเลยที่ 1 ผัดหนี้กับโจทก์ เมื่อนายปรีชา นิพนธ์เจนโชคผู้รับเหมาตกแต่งบ้านจัดสรรแห่งนี้จากจำเลยที่ 3 เรียกเก็บเงินค่าจ้าง จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 พาไปรับเงินที่จำเลยที่ 1 นายสรรพสิทธิสิริโชค ได้ซื้อบ้านจัดสรรแห่งนี้กับนายพิชัยหรือวิชัย วงศ์เพชร ผู้ดำเนินการก่อสร้างชำระเงินให้นายพิชัยหรือวิชัย 60,000 บาท ภายหลังจำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นเจ้าของบ้านและที่ดิน ให้นายสรรพสิทธิทำสัญญากับ จำเลยที่ 1 โดยตรงจำเลยที่ 1 ได้ยอมรับผิดชอบเงินที่นายพิชัยหรือวิชัยรับไปและคิดหักให้และทำสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยที่ 1 ใหม่ และนางสาวมาลี รักตะปุรณะ ได้ตกลงซื้อบ้านจัดสรรกับจำเลยที่ 3 ราคา 195,000 บาท ชำระเงินให้จำเลยที่ 3 ไปแล้ว60,000 บาท จำเลยที่ 1 แจ้งว่าบ้านและที่ดินไม่ใช่ของจำเลยที่ 3 แต่เป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ยอมโอนบ้านและที่ดินให้โดยยอมรับเงินเพียงที่ยังขาดอยู่ จำเลยที่ 1 ยังได้ขายบ้านพร้อมที่ดินจัดสรรแห่งนี้แก่บุคคลอื่นอีกหลายรายจำเลยที่ 1 เป็นผู้โอนกรรมสิทธิ์แก่ผู้ซื้อต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เรียบร้อยไปแล้วตามเอกสารที่โจทก์อ้าง โดยก่อนโอนจำเลยที่ 1 ประชุมกรรมการและอนุมัติให้ขายได้ นอกจากนี้ยังได้มีการพิมพ์แผ่นปลิวโฆษณาระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ร่วมจัดสรรดังเอกสารหมาย 6, 7 และ 8 ท้ายฟ้อง พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1ดังกล่าวแล้ว เป็นการแสดงออกต่อโจทก์และบุคคลภายนอกว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกิจการจัดสรรบ้านและที่ดินเอง เชิดจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในหนี้สินโจทก์ที่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ซื้อไม้และวัสดุก่อสร้างไป และยังค้างชำระตามฟ้อง

พิพากษายืน

Share