คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 834/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยที่ 18 มีคำสั่งให้เพิกถอน น.ส.3 ก. ของโจทก์เนื่องจากเป็นการออกทับหนองน้ำสาธารณประโยชน์ ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป ดังนั้น การที่โจทก์ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 18 และพิพากษาว่าน.ส.3 ก. เป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายซึ่งหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีย่อมมีผลให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์คืนมา คำขอของโจทก์ในส่วนที่ขอให้พิพากษาว่า น.ส.3 ก. เป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แม้โจทก์จะมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 18 อันเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้มาด้วยก็ตาม แต่การที่ศาลจะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 18 ก็ต้องได้ความว่าหนองน้ำในที่ดินตาม น.ส.3 ก. ของโจทก์ไม่ใช่หนองน้ำสาธารณประโยชน์ ดังนั้นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงเป็นคำขออันเป็นประธานถือได้ว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ตั้งอยู่บ้านหนองจาน หมู่ที่ 9ตำบลช่องแมว อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 23 ไร่ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 15 ร่วมกันชักนำราษฎรบ้านหนองจาน หมู่ที่ 9 แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ว่ามีหนองน้ำสาธารณประโยชน์อยู่ในที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 16 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ จำเลยที่ 17 เป็นนายอำเภอ ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียดรอบคอบวันที่ 15 มีนาคม 2536 จำเลยที่ 18 มีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ของโจทก์ อ้างว่าออกทับที่ดินสาธารณประโยชน์ ขอให้เพิกถอนคำสั่งจังหวัดนครราชสีมา ที่ 914/2536 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2536 โดยให้จำเลยที่ 18แจ้งยกเลิกคำสั่งดังกล่าวภายใน 7 วัน นับแต่วันพิพากษา หากจำเลยที่ 18 ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 18 และพิพากษาว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ตำบลช่องแมว อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา เป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย และให้จำเลยทั้งสิบแปดร่วมกันใช้ค่าเสียหายในปี 2536 แก่โจทก์เป็นเงิน 20,000 บาท และในปีต่อไปปีละ20,000 บาท จนกว่าโจทก์จะได้เข้าทำประโยชน์ในบริเวณที่พิพาท

จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 14 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 11 ที่ 12 ที่ 13 และที่ 15 ให้การรับว่าการกระทำของจำเลยมิได้เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 16, 17 และ 18 ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ตำบลช่องแมว อำเภอชุมพวงจังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 23 ไร่ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 15 ร่วมกันร้องเรียนว่า มีหนองน้ำสาธารณประโยชน์อยู่ในที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 16 และที่ 17 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอและนายอำเภอปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ละเอียด ต่อมาจำเลยที่ 18 ได้มีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ของโจทก์อ้างว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ออกทับหนองน้ำสาธารณประโยชน์และมีคำขอท้ายฟ้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 18 และพิพากษาว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 เป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายข้อเท็จจริงตามคำฟ้องเป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 18 มีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์เนื่องจากเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับหนองน้ำสาธารณประโยชน์คำสั่งของจำเลยที่ 18 มีผลทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 อีกต่อไป ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 18 และพิพากษาว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 เป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ย่อมมีผลทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์คืนมาคำขอของโจทก์ในส่วนที่ขอให้พิพากษาว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 181 เป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แม้โจทก์จะมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 18 อันเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้มาด้วยก็ตาม แต่การที่ศาลจะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 18 ก็ต้องได้ความว่าหนองน้ำในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ ไม่ใช่หนองน้ำสาธารณประโยชน์ ดังนั้น คำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงเป็นคำขออันเป็นประธาน ถือได้ว่าคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้โจทก์จะมีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ในปี 2536 เป็นเงิน 20,000 บาท และปีต่อ ๆ ไป ปีละ 20,000 บาท แต่ปรากฏว่าโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2536 ยังไม่สิ้นสุดปี 2536 ดังนั้น ค่าเสียหายของปี 2536 จึงคำนวณตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 ถึงวันที่ 17 กันยายน 2536 เป็นเวลา 260 วัน เป็นจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องเท่ากับ 14,246.57 บาท ส่วนค่าเสียหายปีต่อ ๆ ไป ปีละ 20,000 บาท เป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากวันฟ้องไม่อาจนำมาคำนวณเป็นจำนวนทุนทรัพย์คดีนี้ได้จำนวนทุนทรัพย์คดีนี้จึงมีราคาเท่ากับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ของโจทก์ รวมกับค่าเสียหายจำนวน 14,246.57 บาท ดังกล่าว แต่ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ปรากฏว่าศาลทั้งสองสั่งให้คู่ความตีราคาทุนทรัพย์ในที่ดินดังกล่าวของโจทก์แต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตามตามเอกสารหมาย ล.1 มีหลักฐานที่โจทก์เคยยื่นคำขอให้นายอำเภอชุมพวงรับรองราคาประเมินของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 และนายอำเภอชุมพวงได้ตีราคาประเมินเพื่อใช้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไว้เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2534 ในราคาไร่ละ 2,800 บาท คำนวณเป็นราคาที่ดินของโจทก์ในขณะนั้นได้ 64,400 บาท โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2536 ราคาประเมินของที่ดินดังกล่าวในระยะเวลาที่ล่วงเลยมาประมาณ 2 ปี สภาพที่ตั้งของที่พิพาทไม่มีข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางเพิ่มขึ้นมากเกินปกติ หากที่ดินดังกล่าวจะมีราคาเพิ่มขึ้น เชื่อได้ว่าจะไม่เพิ่มขึ้นกว่าปี 2534 เกินกว่า 2 เท่าแน่นอน นั้นคือ ราคาที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 181 ขณะยื่นฟ้องมีราคาไม่เกิน 128,800 บาท รวมกับค่าเสียหาย 14,246.57 บาทรวมเป็นเงิน 143,046.57 บาท ไม่เกินสองแสนบาท

คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ของโจทก์ออกทับที่ดินสาธารณประโยชน์ พิพากษายืนให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทดังที่วินิจฉัยข้างต้น ต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ของโจทก์มิได้ออกทับที่สาธารณประโยชน์เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์มาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”

พิพากษายกฎีกาของโจทก์

Share