แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำพิพากษาระบุลำดับขั้นตอนการบังคับคดีไว้ จึงต้องปฏิบัติไปตามขั้นตอนนั้น ศาลต้องออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาในหนี้อันดับแรก จำเลยจะเลือกปฏิบัติขอชำระหนี้ในลำดับที่สองและจะขอให้บังคับคดีเกินไปจากคำพิพากษาหาได้ไม่ ทั้งคำขอของจำเลยเกินขอบเขตอำนาจของกฎหมายเพราะผู้ที่ขอให้บังคับคดีได้ต้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 และ 275
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยรังวัดแบ่งแยกและโอนที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 8684 ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดงจังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ 40 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านเลขที่ 96/81 ให้แก่โจทก์ โดยให้จำเลยรับเงินจำนวน 120,000 บาท จากโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากสภาพแห่งหนี้ไม่อาจบังคับให้จำเลยโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ได้ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 480,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาโจทก์วางเงิน 120,000 บาท ต่อศาลชั้นต้น เพื่อให้จำเลยรับไปกับขอให้จำเลยดำเนินการรังวัดแบ่งแยกและโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา หลังจากนั้นโจทก์นำช่างรังวัดของสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาพระประแดง ไปรังวัดที่ดินเพื่อดำเนินการแบ่งแยก ปรากฏว่าที่ดินส่วนที่จำเลยจะต้องแบ่งโอนให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาจำนวน 40 ตารางวา อยู่ในเขตโฉนดเลขที่ 8684 เพียง 27 ตารางวา ส่วนอีก 16 ตารางวาอยู่นอกเขตโฉนด
จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่สามารถรังวัดแบ่งแยกและโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาอย่างแรกได้ โดยวางเงินพร้อมดอกเบี้ยจำนวน655,110 บาท ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์รับเงินจำนวน 655,110 บาทตามคำพิพากษาอย่างหลังและรื้อถอนบ้านเลขที่ 96/81 ออกไปจากที่ดินภายใน 30 วัน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีจึงไม่อาจขอให้บังคับคดีได้ เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับเงินที่จำเลยนำมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไป จึงให้ยกคำร้องของจำเลย และให้โจทก์ดำเนินการบังคับคดีต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้หลังจากที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2536 แล้วตลอดมาจนกระทั่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2539 ก็ยังไม่ได้มีการออกคำบังคับให้คู่ความทราบเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาดังความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 272 อันจะนำไปสู่การออกหมายบังคับคดีในอีกขั้นตอนหนึ่งในภายหลังตามความในมาตรา 271 และ 276 จนถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2539 โจทก์จึงได้นำเงินไปวางต่อศาลชั้นต้นจำนวน120,000 บาท เป็นค่าซื้อที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือ เพื่อให้จำเลยรับไปจากศาลประหนึ่งเป็นการชำระหนี้ค่าที่ดินแก่จำเลยและในวันที่ 27 ธันวาคม2539 จำเลยได้นำเงินมาวางต่อศาลชั้นต้นจำนวน 655,110 บาท เพื่อให้โจทก์รับไปแทน การที่จะต้องแบ่งแยกที่ดินพิพาทออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 8684 เพื่อขายแก่โจทก์ เนื่องจากที่ดินพิพาทบางส่วนซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านเลขที่ 96/81 ของโจทก์อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของนายธำรงศักดิ์คำจัน อันเป็นบุคคลภายนอกคดี โดยปรากฏตามคำแถลงของจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2540อีกว่า จำเลยจึงไม่มีความประสงค์จะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์อีกต่อไปจึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้ออกคำบังคับโจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโดยให้โจทก์รับเงินจำนวนดังกล่าว (ของจำเลย) ไปจากศาลและให้รื้อถอนบ้านเลขที่ 96/81 หรือสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทภายใน 30 วันด้วยนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคำพิพากษาได้ระบุลำดับขั้นตอนในการบังคับคดีไว้ ในการบังคับคดีจึงต้องปฏิบัติไปตามขั้นตอนเช่นว่านั้นเมื่อโจทก์ยังประสงค์จะบังคับคดีตามคำพิพากษาในอันดับแรกโดยได้วางเงินเพื่อชำระค่าที่ดินจำนวน 120,000 บาท ศาลจะต้องออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาในหนี้อันดับแรกและดำเนินการบังคับคดีต่อไป จำเลยจะเลือกปฏิบัติขอชำระหนี้ในลำดับที่สองโดยอ้างว่าที่ดินที่จำเลยจะต้องโอนขายให้โจทก์บางส่วนอยู่ในโฉนดของบุคคลภายนอกหาได้ไม่ การดำเนินการของจำเลยเป็นการผิดขั้นตอน และคำขอของจำเลยเกินขอบเขตอำนาจของกฎหมายที่กำหนดไว้เพราะผู้ที่จะขอให้บังคับคดีได้นั้นต้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือโจทก์ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 และ 275 อีกทั้งตามคำพิพากษาก็มิได้กล่าวไว้ในเรื่องการที่จะต้องให้โจทก์รื้อถอนบ้านเลขที่96/81 ออกไปจากที่ดินพิพาทตามคำร้องของจำเลย คำขอของจำเลยส่วนนี้จึงเป็นการขอให้บังคับคดีเกินไปจากคำพิพากษา ย่อมไม่อาจกระทำได้การที่จำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางไว้ต่อศาล จำเลยก็มีหน้าที่เพียงแต่เฉพาะที่จะต้องแจ้งหรือบอกกล่าวให้เจ้าหนี้หรือโจทก์ทราบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 333 วรรคสาม แล้วต้องรอว่าสิทธิของเจ้าหนี้หรือโจทก์จะระงับสิ้นไปตามมาตรา 339 หรือไม่ ในอันที่จำเลยจะได้ใช้สิทธิถอนทรัพย์คืน หรืออีกนัยหนึ่งการวางทรัพย์ของโจทก์ก็เช่นเดียวกันซึ่งจะต้องดำเนินการบังคับคดีต่อไปตามช่วงระยะเวลาในการบังคับคดีตามคำพิพากษาของโจทก์ด้วย ดังนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน