คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3317/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่าบริการ 200 เปอร์เซ็นต์นอกจากค่าเสียหายอื่น ๆที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องจากจำเลยนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องกล่าวมาในฟ้องโดยแจ้งชัดว่าหมายถึงค่าอะไร โจทก์เพิ่งจะมากล่าวรายละเอียดแห่งค่าบริการในชั้นฎีกาจำเลยทั้งสองก็ให้การต่อสู้คดีไว้ว่าไม่ทราบว่าเป็นค่าอะไร และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคแรกที่บัญญัติว่า ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้นให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดทางพิจารณาจะต้องได้ความเสียก่อนว่าเป็นค่าอะไรเป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดของจำเลยหรือไม่เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบพิสูจน์ไว้ให้ศาลเห็น ศาลจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจให้ถูกต้อง และเหมาะสมได้ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดค่าเสียหายในเรื่องนี้จึงถูกต้องแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์และทรัพย์สินบนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์เสียค่าซ่อมตัวถังรถยนต์และเครื่องยนต์เป็นเงิน 56,807 บาท ค่าซ่อมเครื่องวัด 25 เครื่องเป็นเงิน 6,960 บาท และโจทก์คิดค่าบริการอีก 200 เปอร์เซ็นต์เป็นเงิน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 93,767 บาท จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลและเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 1จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันชำระค่าเสียหายให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์เรียกค่าซ่อมรถยนต์และค่ามาตรวัดกระแสไฟฟ้าเกินกว่าความเป็นจริง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าบริการ 200 เปอร์เซ็นต์ และดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ให้การว่า การที่รถยนต์ของโจทก์และจำเลยที่ 1ชนกันไม่ได้ความประมาทของจำเลยที่ 1 โจทก์เรียกค่าซ่อมรถยนต์และมาตรวัดกระแสไฟฟ้าเกินความเป็นจริง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าบริการ 200 เปอร์เซ็นต์จากจำเลยที่ 2
ในชั้นพิจารณาคู่ความต่างส่งเอกสารและภาพถ่ายเพื่อประกอบการพิจารณา แต่ไม่นำสืบพยานบุคคล
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ได้รับความเสียหายแต่สำหรับค่าบริการ 200 เปอร์เซ็นต์เลื่อนลอย ขาดหลักเกณฑ์สมควรให้ตัดออก พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 63,767 บาท ให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ค่าบริการ 200 เปอร์เซ็นต์ โจทก์มิได้กล่าวให้แจ้งชัดว่าหมายถึงค่าอะไร จำเลยทั้งสองก็ให้การต่อสู้คดีไว้ว่าไม่ทราบว่าเป็นค่าอะไร ค่าเสียหายที่กล่าวนี้เป็นข้อเท็จจริง เมื่อคดีไม่มีการสืบพยาน อีกทั้งเอกสารและภาพถ่ายที่คู่ความส่งศาลก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าค่าบริการดังกล่าวคืออะไร ศาลจึงไม่อาจทราบได้ว่าค่าบริการดังกล่าวเป็นค่าอะไรที่โจทก์ฎีกาว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคแรกบัญญัติว่าค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้นให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์ และความร้ายแรงแห่งละเมิดศาลล่างจะต้องให้ดุลพินิจวินิจฉัยให้โจทก์จะต้องออกเสียมิได้นั้นข้อนี้ทางพิจารณาจะต้องได้ความเสียก่อนว่าเป็นค่าอะไรเป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิด ขึ้น จากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 หรือไม่ถ้าไม่ทราบว่าเป็นค่าอะไรแล้วศาลจะใช้ดุลพินิจให้ถูกต้องและเหมาะสมได้อย่างไร ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดค่าเสียหายในเรื่องนี้ให้จึงถูกต้องแล้ว ส่วนที่โจทก์เพิ่งมากกล่าวรายละเอียดในฎีกาว่า ค่าบริการดังกล่าวคือค่าใช้จ่ายโรงงานที่เป็นต้นทุนการผลิตส่วนที่นอกเหนือจากค่าเสียหายและค่าแรงอันประกอบด้วยเงินเดือนของหัวหน้าควบคุมงานรวมทั้งพนักงานธุรการด้วยผลประโยชน์ของพนักงานโจทก์ทั้งหมดค่าใช้จ่ายในสำนักงานของโจทก์ ค่าบำรุงรักษาเครื่องมือเครื่องใช้ในสำนักงานค่าเสื่อมราคาครั้งหนึ่งของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในสำนักงานนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีการนำสืบ ต้องห้ามมิให้รับฟังทั้งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาวินิจฉัยไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share