คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดไต่สวนโดยเห็นว่าข้ออ้างของจำเลยที่ว่าผู้รับมอบฉันทะของทนายจำเลยจดวัดนัดผิดพลาดฟังไม่ขึ้น ทั้งคำร้องของจำเลยมิได้แสดงข้อคัดค้านโดยชัดแจ้งซึ่งคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จัตวา วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 207 ให้ยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว โดยเพียงขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นเพื่อให้จำเลยมีโอกาสนำพยานเข้าไต่สวนโดยไม่มีผลกระทบต่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยแพ้คดีโดยขาดนัดพิจารณา จำเลยจึงไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามมาตรา 229
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวเพียงว่า การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีของโจทก์ไปฝ่ายเดียว ทำให้จำเลยเสียเปรียบหากจำเลยมีโอกาสนำพยานเข้าสืบหลังจากโจทก์สืบพยานเสร็จแล้วย่อมมีผลให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป มิได้กล่าวว่าจำเลยมีพยานหลักฐานอย่างใดที่จะนำมาหักพยานโจทก์อันจะแสดงให้เห็นว่าหากศาลได้พิจารณาคดีนั้นใหม่แล้วตนอาจเป็นฝ่ายชนะ จึงเป็นคำร้องที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวบกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จัตวา วรรคสอง ประกอบมาตรา 207 ถือว่าเป็นคำร้องที่ไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาโดยจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 80,286,669 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี ในต้นเงิน 74,310,000 บาท นับแต่วันที่ 18 มกราคม 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดบนที่ดินที่ได้จำนองโจทก์ไว้ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินมาไม่พอชำระหนี้ดังกล่าวให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนกว่าจะครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา เนื่องจากผู้รับมอบฉันทะของทนายจำเลยทั้งสองจำวันนัดผิดพลาด หากจำเลยทั้งสองได้มีโอกาสนำพยานเข้าสืบหลังจากโจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว ย่อมมีผลให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า คำร้องของจำเลยทั้งสองมิได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองมีข้อต่อสู้อย่างไร และมีข้อคัดค้านคำพิพากษาอย่างไร อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าหากศาลได้พิจารณาคดีนี้ใหม่จะทำให้จำเลยทั้งสองชนะคดี จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบ และตามคำให้การของจำเลยทั้งสองไม่มีประเด็นที่จะนำสืบให้มีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพาษาได้ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องเพื่อประวิงคดีมิให้โจทก์บังคับคดีขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าจำเลยทั้งสองมิได้จงใจที่จะยื่นอุทธรณ์โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและมิใช่เป็นความผิดของจำเลยทั้งสอง ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสั่งให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษามาวางศาลภายในกำหนดเวลาที่ศาลมีคำสั่งเสียก่อนนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดไต่สวนคำร้องของจำเลยทั้งสองโดยเห็นว่าข้ออ้างของจำเลยทั้งสองที่ว่าผู้รับมอบฉันทะของทนายจำเลยทั้งสองจดวันนัดผิดพลาดฟังไม่ขึ้น ทั้งคำร้องของจำเลยทั้งสองมิได้แสดงข้อคัดค้านโดยชัดแจ้งซึ่งคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จัตวา วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 207 เป็นคำร้องที่ไม่ชอบให้ยกคำร้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้น โดยเพียงขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นเพื่อให้จำเลยทั้งสองมีโอกาสนำพยานเข้าไต่สวนคำร้องดังนี้ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองแม้หากศาลอุทธรณ์เห็นชอบด้วย ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะพิพากายกคำสั่งของศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาใหม่และมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดีเท่านั้น โดยไม่มีผลกระทบต่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยทั้งสองแพ้คดีโดยขาดนัดพิจารณาจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์นั้นตามประมวลกฎหมายวีธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความ ฝ่ายใดฎีกา แต่เนื่องจากคดีพอวินิจฉัยได้ เพื่อมิให้ล่าช้าศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวน เห็นว่า คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งสองกล่าวเพียงว่า การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาของโจทก์ไปฝ่ายเดียว ทำให้จำเลยทั้งสองเสียเปรียบหากจำเลยทั้งสองมีโอกาสนำพยานเข้าสืบหลังจากโจทก์สืบพยานเสร็จแล้วย่อมมีผลให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปมิได้กล่าวว่าจำเลยทั้งสองมีพยานหลักฐานอย่างใดที่จะนำมาหักล้างพยานโจทก์อันจะแสดงให้เห็นว่าหากศาลได้พิจารณาคดีนั้นใหม่แล้วตนอาจเป็นฝ่ายชนะจึงเป็นคำร้องที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 199 จัตวา วรรคสอง ประกอบมาตรา 207 ถือว่าเป็นคำร้องที่ไม่ชอบดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและเป็นคำร้องที่ไม่อาจรับไว้พิจารณาได้ ที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสองมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และให้บังคับตามศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ.

Share