คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1611/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้และรับใช้หนี้ให้ไว้กับโจทก์ โดยยอมรับว่า ตามที่จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายลดเช็คไว้กับโจทก์ 10 ฉบับ และตั๋วสัญญาใช้เงินอีก 1 ฉบับ รวมยอดเงินหลังจากชำระหนี้บ้างแล้วคงเหลือเงินจำนวนหนึ่ง จำเลยขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ 20,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในมูลหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค หาได้ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คและผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือผู้สลักหลังเช็คหรือตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ จำเลยที่ 1 ก็ให้การรับว่าได้ขายลดเช็คและตั๋วสัญญาใช้เงินจริง เท่ากับให้การรับว่าเป็นหนี้โจทก์ในมูลหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คที่โจทก์นำมาฟ้อง
สัญญาขายลดเช็คเป็นสัญญาต่างตอบแทนประเภทหนึ่ง สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามสัญญาขายลดเช็ค ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือมีกำหนดอายุความ 10 ปี สัญญารับสภาพหนี้ทำไว้เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2515 ซึ่งขณะนั้นสิทธิเรียกร้องตามสัญญาขายลดเช็คและตั๋วสัญญาใช้เงินยังไม่ขาดอายุความ จึงทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันนั้น ถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี จึงยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้และรับจะใช้หนี้ให้ไว้กับโจทก์ โดยยอมรับว่า ตามที่จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาขายลดเช็คให้ไว้กับโจทก์ ๑๐ ฉบับ และตั๋วสัญญาใช้เงินอีก ๑ ฉบับ รวมยอดเงินหลังจากชำระหนี้บ้างแล้ว คงเหลือ ๒๔๔,๐๔๒.๗๙ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๕ เป็นต้นมา จำเลยที่ ๑ ขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เป็นรายเดือน ๆ ละ ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยใช้หนี้บ้างคงค้างต้นเงิน ๒๑๔,๙๔๗.๗๐ บาท และดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวมกับต้นเงินเป็นเงิน ๓๑๒,๐๔๑.๖๖ บาท ขอให้จำเลยชำระ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามฟ้องจริง แต่หนี้ขาดอายุความแล้ว จำเลยที่ ๒ ให้การว่าหนี้ขาดอายุความ และว่าหากจะฟังว่าจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิด จำเลยที่ ๒ ก็ยังไม่ต้องรับผิด เพราะจำเลยที่ ๑ ยังไม่ถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนล้มละลาย จำเลยที่ ๑ มีทางชำระหนี้ได้ ขอให้ยกฟ้อง
คู่ความไม่สืบพยาน ขอให้ศาลวินิจฉัยตามคำฟ้องคำให้การและหนังสือรับสภาพหนี้และรับใช้หนี้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า หนี้ตามเช็ค ๑๐ ฉบับ ขาดอายุความ แต่การรับสภาพหนี้เป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ ส่วนหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินขาดอายุความแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินโจทก์ ๘๗,๒๕๑ บาท หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน
โจทก์อุทธรณ์ว่า หนี้ทั้งหมดเป็นหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คอายุความ ๑๐ ปี จึงยังไม่ขาดอายุความ จำเลยอุทธรณ์ว่า หนี้ขาดอายุความทั้งหมด จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนี้ตามเช็คฉบับหนึ่งกับตามตั๋วสัญญาใช้เงินขาดอายุความ พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินโจทก์เพียง ๘๒,๒๗๖ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๕ จนกว่าจำเลยที่ ๑ จะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันใช้แทนจนครบ
โจทก์ฎีกาว่า หนี้ตามเช็คฉบับหนึ่งกับตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ขาดอายุความ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า หนี้ตามเช็ค ๙ ฉบับที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้เงินขาดอายุความ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยข้อแรกมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ได้ทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้และรับใช้หนี้ให้ไว้กับโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ ยอมรับว่าตามที่จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาขายลดเช็คไว้กับโจทก์ ๑๐ ฉบับ และตั๋วสัญญาใช้เงินอีก ๑ ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๒๕๒,๒๕๑ บาท ยอดหนี้ค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๑๕ เป็นเงิน ๓๐๑,๐๔๒.๗๙ บาท จำเลยที่ ๑ ชำระให้โจทก์เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๕ เป็นเงิน ๕๗,๐๐๐ บาท คงเหลือยอดหนี้ ๒๔๔,๐๔๒.๗๙ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๕ เป็นต้นมา จำเลยที่ ๑ ขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๑๕ จะชำระให้เสร็จภายในเวลา ๑ ปี หากผิดนัดงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญารับสภาพและรับใช้หนี้ท้ายฟ้องหมายเลข ๒ ตามสำเนาหนังสือสัญญาดังกล่าวข้อ ๑ มีใจความว่า “ตามที่ข้าพเจ้า (จำเลยที่ ๑) ได้ทำสัญญาขายลดเช็คไว้กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสีลม รวม ๑๐ ฉบับ และตั๋วสัญญาใช้เงินอีกหนึ่งฉบับดังรายละเอียดต่อไปนี้ …. ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบดูแล้วเป็นความจริง และมียอดหนี้ถูกต้องทุกประการ เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดในมูลหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค หาได้ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คและผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือผู้สลักหลังเช็คหรือตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ จำเลยที่ ๑ ก็ให้การรับว่าได้ขายลดเช็ค ๑๐ ฉบับ และตั๋วสัญญาใช้เงิน ๑ ฉบับ ตามหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์จริง เท่ากับให้การรับว่าเป็นหนี้โจทก์ในมูลหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คที่โจทก์นำมาฟ้อง สัญญาขายลดเช็คจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนประเภทหนึ่ง สิทธิเรียกร้องของโจทก์จามสัญญาขายลดเช็คไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ คือมีกำหนดอายุความ ๑๐ ปี ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๕๕/๒๕๒๐ ระหว่างธนาคารเอเซียทรัสต์ จำกัด โจทก์ นางเซียมเกียว แซ่เบ๊ จำเลย จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้และรับใช้หนี้ให้โจทก์ไว้ตามเอกสารหมาย ๒ ท้ายฟ้องเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๕ ซึ่งขณะนั้นสิทธิเรียกร้องตามสัญญาขายลดเช็ค ๑๐ ฉบับ และตั๋วสัญญาใช้เงินอีก ๑ ฉบับยังไม่ขาดอายุความ จึงทำให้อายุความสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความใหม่ ซึ่งมีกำหนด ๑๐ ปี นับแต่วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๕ โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๙ จึงยังไม่ขาดอายุความ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์ ๓๑๒,๐๓๗.๖๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี ในต้นเงิน ๒๑๔,๙๔๗.๗๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน

Share