คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3679/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สายไฟฟ้าซึ่งเป็นสายดินจะต้องต่อลงดินทุก ๆ ระยะ 200 เมตรและปลายสายจะต้องต่อลงดินด้วย เพื่อให้สายดินมีค่าเป็นศูนย์จริง ๆกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านเข้าไม่ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุสายไฟฟ้าที่พาด เสา ไฟฟ้าทั้ง 22 ต้น เป็นระยะทางถึง 840 เมตรมีสายดินต่อลงดินเพียงแห่งเดียวคือที่เสาไฟฟ้าต้นที่ 22 จึงไม่ทำให้สายดินมีค่าเป็นศูนย์ กระแสไฟฟ้าย่อมไหลผ่านเข้าไปได้ การที่สายไฟฟ้าซึ่งเป็นสายดินพาด ระหว่างเสาไฟฟ้าต้นที่ 17 กับต้นที่ 18ปักอยู่ในสวนของผู้ตายได้ขาดตกลงมาในท้องร่อง ซึ่งมีน้ำขัง ผู้ตายไปเปิดน้ำเข้าสวนถูกกระแสไฟฟ้าดูดถึงแก่ความตาย จึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ทำการพาด สายไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐาน โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มีบุตรด้วยกัน 3 คน ขณะผู้ตายยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้อุปการะโจทก์และบุตร การที่จำเลยทำละเมิดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายทำให้บุตรโจทก์ขาดไร้อุปการะ จึงขอเรียกค่าขาดไร้อุปการะของบุตรโจทก์เช่นนี้ มีความหมายพอเป็นที่เข้าใจได้ว่าบุตรโจทก์ขอเรียกค่าสินไหมทดแทนตามสิทธิของตนนั่นเอง แต่เพราะเหตุที่บุตรโจทก์ทั้งสามเป็นผู้เยาว์ยังฟ้องคดีเองไม่ได้ โจทก์ซึ่งเป็นมารดาและผู้แทนโดยชอบธรรมจึงฟ้องแทน ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องทั้งในนามตนเองและในนามบุตรทั้งสามโดยปริยาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาของผู้ตายโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 3 คน อายุ 9 ปี 5 ปี และ 3 ปี ตามลำดับ จำเลยทำละเมิดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ทำให้โจทก์และบุตรต้องขาดไร้อุปการขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์และบุตรทั้งสามรวมเป็นเงิน 502,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์และบุตรไม่ใช่ผู้อยู่ในอุปการะของผู้ตายผู้ตายตายด้วยสาเหตุอื่น มิใช่เกิดจากความประมาทเลินเล่อหรือจงใจของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 381,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 484,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมาโดยคู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบัญชา หงษ์ประชา ผู้ตาย มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือเด็กหญิงรัชดาพร เด็กหญิงสุดาวรรณ และเด็กชายสุรศักดิ์ หงษ์ประชาอายุ 9 ปี 5 ปี และ 3 ปี ตามลำดับ สายจำหน่ายกระแสไฟฟ้าซึ่งต่อจากสายเมนข้างถนนวัดไร่ขิงเลียบไปตามลำคลองบางพร้าวหมู่ที่ 5 ตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม อยู่ในความควบคุมดูแลของการไฟฟ้ส่วนภูมิภาค อำเภอสามพราน สายจำหน่ายกระแสไฟฟ้าดังกล่าวมี 3 สายเป็นสายดิน 1 สาย และสายไฟ 2 สาย พาดบนเสาคอนกรีต รวม 22 ต้นเสาไฟฟ้าต้นหนึ่ง ๆ ปักห่างกัน 40 เมตร เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2524สายไฟฟ้าซึ่งเป็นสายดินพาดระหว่างเสาไฟฟ้าต้นที่ 17 กับต้นที่ 18ปักอยู่ในสวนของโจทก์และผู้ตายได้ขาดตกลงมา ทำให้ผู้ที่ใช้ไฟฟ้าถัดจากต้นที่ 18 ไปถึงปลายสายต้นที่ 22 ไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ ต่อมาจึงมีผู้นำสายไฟฟ้าไปต่อเชื่อมสายดินที่ขาด แล้วใช้ไม้รวกค้ำสายดังกล่าวไว้ ครั้นวันที่ 29 ธันวาคม 2524 ผู้ตายไปเปิดน้ำเข้าสวนและถึงแก่ความตายในท้องร่องซึ่งมีน้ำขังระหว่างเสาไฟฟ้าต้นที่ 17กับต้นที่ 18 ที่จำเลยฎีกาในข้อแรกว่า สายไฟฟ้าที่ขาดเป็นสายดินไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ผู้ตายจึงมิได้ตายเนื่องจากถูกกระแสไฟฟ้าจากสายดินดังกล่าวนั้น คดีได้ความจากคำเบิกความของนายบุญเพิ่ม เจริญกูล พยานจำเลยซึ่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าส่วนเทคนิคเขตการไฟฟ้า 3 และคำเบิกความของนายสันติพงษ์วงศ์พยัคฆ์ พยานโจทก์ทำนองเดียวกันว่าสายไฟฟ้าซึ่งเป็นสายดินนั้นจะต้องต่อลงดินทุก ๆ ระยะ 200 เมตร และปลายสายจะต้องต่อลงดินด้วยทั้งนี้เพื่อให้สายดินมีค่าเป็นศูนย์จริง ๆ กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านเข้าไม่ได้ แต่จากการเผชิญสืบสถานที่เกิดเหตุของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2527 ได้ความว่า สายไฟฟ้าที่พาดเสาเลียบลำคลองบางพร้าวทั้ง 22 ต้นนี้มีสายดินที่ต่อลงดินเพียง 2 แห่ง คือที่เสาไฟฟ้าต้นสุดท้าย 1 แห่งกับที่เสาไฟฟ้าต้นที่ 12 อีก 1 แห่งสำหรับสายที่ต่อลงดินที่เสาต้นที่ 12 นี้ สังเกตเห็นมีการขุดดินใหม่และใส่ท่อเอสลอนใหม่ ซึ่งความในข้อนี้เจือสมกับคำเบิกความของพยานโจทก์ คือนายทองสุข สุขถาวร ผู้ใหญ่บ้านท้องที่เกิดเหตุและนายสันติพงษ์ วงศ์พยัคฆ์ ที่ว่าขณะเกิดเหตุมีสายไฟฟ้าที่ต่อลงดินเพียงแห่งเดียวคือที่เสาไฟฟ้าต้นที่ 22 ส่วนสายดินที่ต่อลงดินตรงเสาไฟฟ้าต้นที่ 12 นั้น ฝ่ายจำเลยเพิ่งมาจัดทำขึ้นเมื่อหลังจากเกิดเหตุแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุสายไฟฟ้าที่พาดเสาไฟฟ้าทั้ง 22 ต้น มีสายดินที่ต่อลงดินเพียงแห่งเดียวคือที่เสาไฟฟ้าต้นที่ 22 เมื่อเสาไฟฟ้าต้นหนึ่ง ๆ ปักห่างกัน 40 เมตรรวม 22 ต้น เป็นระยะทางถึง 840 เมตร เช่นนี้ การที่จำเลยทำการต่อสายดินที่เสาสุดท้ายเพียงแห่งเดียว จึงไม่ทำให้สายไฟฟ้าซึ่งเป็นสายดินมีค่าเป็นศูนย์กระแสไฟฟ้าย่อมไหลผ่านเข้าไปได้ และในเรื่องนี้นายศักดา โตเจริญ พยานจำเลย ซึ่งเป็นผู้จัดการไฟฟ้าอำเภอสามพรานก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า ที่เกิดเหตุมีสายเปลือย1 เส้น สายหุ้ม 1 เส้น สายหุ้มคือสายซึ่งมีกระแสไฟฟ้า สายเปลือยคือสายดินซึ่งมีกระแสไฟฟ้าเช่นกัน ดังนั้นที่จำเลยฎีกาว่า สายไฟฟ้าที่ขาดเป็นสายดินไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน จึงขัดต่อพยานหลักฐานดังกล่าวข้างต้น เมื่อคดีได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทสิทธิศักดิ์ ภู่ลาย พนักงานสอบสวน และนายวิชาญ เอกเจริญโอสถ แพทย์ประจำตำบลผู้ชันสูตรพลิกศพผู้ตายว่า สภาพศพของผู้ตายมือและเท้าเกร็ง นายวิชาญใช้ไขควงตรวจวัดสายไฟที่ขาดในที่เกิดเหตุ ปรากฏว่ามีกระแสไฟฟ้า จึงลงความเห็นว่าผู้ตายถูกกระแสไฟฟ้าดูดถึงแก่ความตายตามรายงานชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.3 เช่นนี้ การที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ทำการพาดสายไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐาน และเมื่อสายไฟฟ้าขาดตกลงมา ก็ไม่รีบจัดการแก้ไข จนเป็นเหตุให้ผู้ตายถูกกระแสไฟฟ้าดูดถึงแก่ความตาย
ที่จำเลยฎีกาในข้อต่อมาว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นส่วนตัว ไม่ได้ฟ้องในฐานะผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์ จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะแทนบุตรของโจทก์นั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มีบุตรด้วยกัน 3 คนคือเด็กหญิงรัชดาพร เด็กหญิงสุดาวรรณ และเด็กชายสุรศักดิ์ หงษ์ประชอายุ 9 ปี 5 ปี และ 3 ปี ตามลำดับ ขณะผู้ตายยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้อุปการะโจทก์และบุตรของโจทก์ การที่จำเลยทำละเมิดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ทำให้บุตรโจทก์ขาดไร้อุปการะ จึงขอเรียกค่าขาดไร้อุปการะของบุตรโจทก์เช่นนี้ มีความหมายพอเป็นที่เข้าใจได้ว่าบุตรโจทก์ขอเรียกค่าสินไหมทดแทนตามสิทธิของตนนั่นเอง แต่เพราะเหตุที่บุตรโจทก์ทั้งสามเป็นผู้เยาว์ ยังฟ้องคดีเองไม่ได้โจทก์ซึ่งเป็นมารดาและผู้แทนโดยชอบธรรมจึงฟ้องแทน ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องทั้งในนามตนเองและในนามของบุตรทั้งสามโดยปริยาย
พิพากษายืน.

Share