คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8329/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นให้ส่งสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณา โดยมิได้งดการพิจารณา ทั้งศาลอุทธรณ์ก็มิได้ทำคำสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 228 จนกระทั่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีเดิม ต่อมาศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาคดีเกี่ยวกับฟ้องแย้งโดยพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ดังนี้ เมื่อจำเลยฎีกา จึงไม่มีเหตุที่จะให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งและรื้อฟื้นพิจารณาพิพากษาประเด็นตามฟ้องแย้งใหม่ หากจำเลยเห็นว่ามีสิทธิตามฟ้องแย้งก็ชอบที่จะฟ้องเป็นคดีใหม่ได้เพราะคำพิพากษาดังกล่าวไม่ตัดสิทธิของจำเลยที่จะเรียกร้องตามสิทธิของตน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ในระหว่างกลางเดือนมีนาคม 2540 ถึงปลายเดือนสิงหาคม 2540 จำเลยสั่งซื้อสินค้าตะแกรงลวดเหล็กกลมไปจากโจทก์หลายครั้ง รวมเป็นเงิน 8,080,837.47 บาท จำเลยได้รับมอบสินค้าไปครบถ้วนแล้ว จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระราคาให้แก่โจทก์เมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันรับมอบสินค้าแต่ละครั้ง จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนจำนวน 190,882.33 บาท คงค้างชำระ 7,889,955.14 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2542 จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้ต่อโจทก์ยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าสินค้าจำนวนดังกล่าวโดยตกลงจะชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2543 พร้อมทั้งยอมชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี กำหนดชำระเป็นรายเดือน จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์เพียงครั้งเดียวเป็นเงิน 500,000 บาท แล้วผิดนัด หลังจากโจทก์นำไปหักชำระเป็นดอกเบี้ยและต้นเงินบางส่วนแล้ว จำเลยยังค้างชำระ 7,710,308.93 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย นับถึงวันฟ้องจำเลยเป็นหนี้โจทก์รวมเป็นเงิน 9,396,317.26 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 9,396,317.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี ของต้นเงิน 7,710,308.93 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยสั่งซื้อสินค้าและรับมอบสินค้าจากโจทก์ ทั้งจำเลยไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์ หนังสือรับสภาพหนี้ท้ายฟ้องในช่องลูกหนี้ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำลย และตราประทับก็ไม่ใช่ของจำเลยก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ไม่เคยมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ การที่โจทก์นำมูลหนี้ตามฟ้องโดยปราศจากมูลความจริงมาฟ้องให้จำเลยรับผิด ทำให้บุคคลภายนอกขาดความเชื่อถือและทำให้จำเลยต้องเสียชื่อเสียงไม่สามารถประกอบธุรกิจการค้าต่อไปได้ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน 10,000,000 บาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลย ส่วนฟ้องแย้งรอไว้สั่งเมื่อไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอนาถาแล้ว แต่ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นให้ส่งสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณา โดยศาลชั้นต้นมิได้งดการพิจารณา ทั้งศาลอุทธรณ์ก็มิได้ทำคำสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 จนกระทั่งศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาในคดีเดิม ต่อมาศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาคดีเกี่ยวกับฟ้องแย้งโดยพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ดังนี้ เมื่อจำเลยฎีกา จึงไม่มีเหตุที่จะให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งและรื้อฟื้นพิจารณาพิพากษาประเด็นตามฟ้องแย้งใหม่ หากจำเลยเห็นว่ามีสิทธิตามฟ้องแย้งก็ชอบที่จะฟ้องเป็นคดีใหม่ได้เพราะคำพิพากษาดังกล่าวไม่ตัดสิทธิของจำเลยที่จะเรียกร้องได้ตามสิทธิของตน ปัญหาตามฎีกาของจำเลยจึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัย”
ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา

Share