คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3801/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มูลละเมิดที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดเกิดจาก การกระทำประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของ จำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากโจทก์ออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่ผู้มีชื่อเป็นเช็คห้ามเปลี่ยนมือและขีดฆ่าคำว่า “ผู้ถือ” ออกแต่เช็คฉบับดังกล่าวถูกนำไปเรียกเก็บยังธนาคารจำเลยที่ 1 ในบัญชีจำเลยร่วมซึ่งมิใช่ผู้รับเงินตามเช็คที่โจทก์สั่งจ่าย โดยผิดขั้นตอนไม่เป็นไปตามระเบียบ แล้วจำเลยร่วมเป็นผู้รับเงินและเบิกจ่ายเงินตามเช็คไป ส่วนการที่จำเลยร่วม และ น. ได้ร่วมกันนำเช็คของโจทก์หลายฉบับรวมทั้งเช็คที่เป็นมูลละเมิดในคดีนี้ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร โจทก์จึงได้ดำเนินคดีกับจำเลยร่วมและ น. ฐานฉ้อโกงแล้วต่อมาโจทก์ จำเลยร่วม และ น. ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเพื่อระงับข้อพิพาทในทางอาญาในความผิดฐานฉ้อโกงอันเป็นความผิดอันยอมความได้ เพื่อให้จำเลยร่วมและ น. ไม่ต้องถูกดำเนินคดีอาญาต่อไปนั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัวของฝ่ายจำเลยร่วมและ น. หาได้มีผลถึงความรับผิดของจำเลยทั้งสองในคดีนี้ซึ่งมีมูลหนี้มาจากการละเมิดไม่ เพราะเป็น คนละเรื่องกันโดยแท้ ดังนี้ จำเลยทั้งสองจึงไม่พ้น ความรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ออกเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เช็คขีดคร่อมระบุชื่อผู้รับเงินและมีคำสั่งห้ามเปลี่ยนมือชำระหนี้ค่าตั๋วเครื่องบินให้แก่บริษัทตัวแทนจำหน่ายตั๋วเครื่องบิน ฉบับหนึ่ง จ่ายบริษัทเมเปิลเอวิเอชั่น จำกัดอีกฉบับหนึ่งจ่ายบริษัทเอดีเอทีเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัดพนักงานโจทก์รับเอาไปดำเนินการและนำไปเข้าบัญชีเงินฝากของนางพรพิกุล พิชยพาณิชย์ ที่ธนาคารจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2เป็นผู้จัดการสาขา ทำการเรียกเก็บเงินตามเช็ค ธนาคารจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ผู้จัดการ กระทำโดยทุจริตและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ได้เรียกเก็บเงินให้แก่นางพรพิกุลซึ่งมิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้ธนาคารกสิกรไทย จำกัดหักเงินจากบัญชีของโจทก์จ่ายไปตามที่เรียกเก็บ โจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากถูกธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)คิดดอกเบี้ยโจทก์ในฐานะลูกหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ในเช็คแต่ละฉบับ จำเลยที่ 2 ผู้ทำละเมิดจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างและฐานะธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินตามเช็คต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 25,965 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า การออกเช็คสั่งจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินเกิดจากการทุจริตของลูกจ้างโจทก์เอง มูลหนี้ละเมิดตามที่โจทก์ฟ้องได้ระงับไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่แล้วเพราะโจทก์ได้รับชำระหนี้ต้นเงินตามเช็คทั้งสองฉบับเป็นการเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เรียกนางพรพิกุลหรือลภณพร พิชยพาณิชย์ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า โจทก์และบริษัทเถกิง เอ็กซ์เพรส จำกัดได้ตกลงประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งและคดีอาญาทุกคดีแล้วหนี้ประธานได้ระงับไปทั้งหมดแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเป็นคดีนี้อีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องสำหรับจำเลยร่วม และคำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า เมื่อจำเลยร่วมและนายนรินทร์ พิชยพาณิชย์ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์แล้ว จะทำให้มูลหนี้ละเมิดระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองระงับไปหรือไม่โดยข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามูลละเมิดคดีนี้เกิดจากการกระทำประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากโจทก์ออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่บุคคลอื่น โดยเป็นเช็คห้ามเปลี่ยนมือและขีดฆ่าคำว่า “ผู้ถือ”ออก แต่เช็คฉบับดังกล่าวถูกนำไปเรียกเก็บยังธนาคารจำเลยที่ 1ในบัญชีจำเลยร่วมซึ่งมิใช่ผู้รับเงินตามเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายโดยผิดขั้นตอนไม่เป็นไปตามระเบียบ จำเลยร่วมเป็นผู้รับเงินและเบิกจ่ายเงินตามเช็คไป ส่วนคดีที่โจทก์กับจำเลยร่วมและนายนรินทร์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้น สืบเนื่องมาจากจำเลยร่วมและนายนรินทร์ได้ร่วมกันนำเช็คของโจทก์หลายฉบับรวมทั้งเช็คที่เป็นมูลละเมิดในคดีนี้ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารโจทก์จึงได้ดำเนินคดีกับจำเลยร่วมและนายนรินทร์ ฐานฉ้อโกง แล้วได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันดังกล่าว เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมและนายนรินทร์เป็นเรื่องระงับข้อพิพาทในทางอาญาในความผิดฐานฉ้อโกงอันเป็นความผิดอันยอมความได้ ทำให้จำเลยร่วมและนายนรินทร์ไม่ต้องถูกดำเนินคดีอาญาต่อไปอันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของฝ่ายจำเลยร่วมและนายนรินทร์หาได้มีผลถึงจำเลยทั้งสองในคดีนี้ซึ่งมีมูลหนี้มาจากการละเมิด ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันโดยแท้ ความรับผิดของจำเลยทั้งสองหาได้ระงับไปไม่ จำเลยทั้งสองจึงไม่พ้นความรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน

Share