คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8320/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

รายงานสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติของจำเลยในคดีอื่น มิใช่เป็นพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 174 วรรคหนึ่ง ทั้งเป็นเอกสารลับในสำนวนคดีอื่น จำเลยไม่มีโอกาสโต้แย้งคัดค้าน ศาลไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,91, 83, 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ลงโทษจำคุก 10 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าในคืนวันเกิดเหตุจำเลยกับพวกไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารของผู้เสียหาย จำเลยกับพวกไม่มีเงินที่จะชำระค่าอาหารแล้วออกจากร้านอาหารของผู้เสียหายไป ต่อมาในคืนเกิดเหตุนั้นเองจำเลยนำเงินค่าอาหารจำนวน270 บาท มาชำระให้ผู้เสียหายเช้าวันเกิดเหตุผู้เสียหายไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกล่าวหาว่าจำเลยกับพวกพยายามฆ่าผู้เสียหาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีพยานสำคัญคือผู้เสียหายและนางล้วนเอก อริยะพงศ์ภริยาผู้เสียหายมาเบิกความว่า หลังจากจำเลยมอบเงินค่าอาหารให้แก่ผู้เสียหาย จำเลยใช้มือจับไหล่ผู้เสียหายและพูดทำนองว่าผู้เสียหายเป็นคนหัวหมอ แล้วจำเลยได้ชักอาวุธปืนสั้นจากเอวของนายจรัสผู้เสียหายหันหลังวิ่งหนี จำเลยวิ่งไล่ยิงผู้เสียหายหลายครั้งแต่กระสุนปืนไม่ลั่นจากนั้นจำเลยกับพวกก็พากันขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีไป ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายและนางล้วนเอกว่า เมื่อจำเลยชักอาวุธปืนจากเอวของนายจรัส ผู้เสียหายก็หันหลังวิ่งหนีโดยวิ่งวนอยู่ที่บริเวณหน้าร้านเกิดเหตุ ซึ่งนางล้วนเอกเบิกความว่าผู้เสียหายวิ่งหนีรอบหน้าร้านประมาณ 2 รอบ โดยจำเลยถือปืนวิ่งไล่ยิงผู้เสียหาย เห็นว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้ขัดต่อเหตุผล เนื่องจากจำเลยมีอาวุธปืนซึ่งสามารถยืนยิงทำร้ายผู้เสียหายในระยะที่ไม่ไกลจากตัวจำเลยนักได้อยู่แล้วไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จำเลยจะต้องวิ่งไล่ตามไปเพื่อยิงผู้เสียหายทั้งผู้เสียหายก็ทราบดีว่าจำเลยมีอาวุธปืนซึ่งสามารถยิงทำร้ายผู้เสียหายโดยจำเลยไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ตัวผู้เสียหาย ผู้เสียหายกลับวิ่งวนอยู่รอบหน้าร้านเกิดเหตุถึง 2 รอบ แล้วจึงวิ่งหลบหนีไปที่บ้านของนางเสาวนีย์เจริญเดช ลักษณะการวิ่งหนีของผู้เสียหายดังกล่าวกลับกลายเป็นเป้าให้จำเลยยิงผู้เสียหายได้โดยสะดวก นับเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งยังได้ความจากคำเบิกความของนางล้วนเอกว่า ในขณะที่จำเลยไล่ยิงผู้เสียหาย นายบ่าวนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ ส่วนนายจรัสอยู่ในที่เกิดเหตุเมื่อนางล้วนเอกตะโกนบอกให้นายจรัสเข้าไปห้าม นายจรัสจึงเข้าไปห้ามโดยกอดตัวจำเลยไว้ ซึ่งแสดงว่านายบ่าวและนายจรัสหาได้มีส่วนร่วมในการที่จำเลยใช้อาวุธปืนไล่ยิงผู้เสียหายแต่อย่างใด แต่เมื่อผู้เสียหายกับนางล้วนเอกไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกลับกล่าวหาว่าจำเลยนายบ่าวและนายจรัสพยายามฆ่าผู้เสียหาย จึงฝืนกับข้อเท็จจริงดังที่นางล้วนเอกเบิกความ ซึ่งก็นับเป็นข้อพิรุธของพยานโจทก์ทั้งสองปากเช่นกันทำให้ขาดน้ำหนักน่าเชื่อถือ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าในคืนวันเกิดเหตุนายจรัสพกพาอาวุธปืนมาในที่เกิดเหตุด้วยก็ตาม แต่ก็ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า ในคืนเกิดเหตุนายจรัสสวมเสื้อปล่อยชายจึงไม่เห็นว่านายจรัสพกพาอาวุธปืนหรือไม่ ทั้งข้อเท็จจริงยังยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยไม่ทราบว่านายจรัสมีอาวุธปืนติดตัวมาด้วยในคืนเกิดเหตุแล้วจำเลยจะไปเอาอาวุธปืนจากเอวของนายจรัสซึ่งสวมเสื้อปล่อยชายปกปิดอาวุธปืนที่เอวนั้นออกมายิงผู้เสียหายได้อย่างไร และแม้ตามรายงานสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1087/2539 ของศาลชั้นต้นจะปรากฏว่านายจรัสจำเลยในคดีดังกล่าวจะให้ถ้อยคำแก่พนักงานคุมประพฤติว่าจำเลยชักอาวุธปืนออกมายิงผู้เสียหายก็ตาม แต่รายงานดังกล่าวหาใช่เป็นพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174 วรรคหนึ่งทั้งเป็นเอกสารลับในสำนวนคดีอื่น จำเลยไม่มีโอกาสโต้แย้งคัดค้านศาลไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยได้ นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายและนางล้วนเอกตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ในขณะที่ผู้เสียหายวิ่งหนีจำเลย ผู้เสียหายหยิบท่อเหล็กน้ำประปาซึ่งวางอยู่แถวบริเวณหน้าร้านที่เกิดเหตุขึ้นมาตีจำเลย โดยนางล้วนเอกเบิกความว่าผู้เสียหายตีถูกจำเลย แต่ไม่ทราบว่าจะถูกบริเวณส่วนใดจนจำเลยล้มลง แล้วผู้เสียหายโยนท่อเหล็กน้ำประปาทิ้งและวิ่งไปทางบ้านนางแดง (นางเสาวนีย์) นายจรัสเข้าไปตะครุบตัวจำเลย จำเลยขัดขืนเพื่อจะติดตามผู้เสียหายไป แต่ไม่สามารถดิ้นหลุดไป ที่พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความว่า ผู้เสียหายหยิบท่อเหล็กน้ำประปาบริเวณหน้าร้านเกิดเหตุในขณะที่วิ่งหนีจำเลยที่ใช้ปืนไล่ยิงขึ้นมาตีจำเลยนั้นไม่น่าเชื่อเพราะผิดปกติวิสัยของผู้ที่วิ่งหนีคนร้ายที่จะใช้ปืนยิง ซึ่งจะต้องหยุดหรือชะลอความเร็วเพื่อหยิบท่อเหล็กน้ำประปาดังกล่าวขึ้นมาอันจะเป็นโอกาสให้คนร้ายยิงทำร้ายได้ง่าย ทั้งท่อเหล็กน้ำประปาก็ไม่สามารถจะนำมาใช้เป็นอาวุธป้องกันตนเองได้เนื่องจากจะต้องใช้ตีคนร้ายในระยะใกล้ในขณะที่คนร้ายมีอาวุธปืนซึ่งสามารถยิงทำร้ายได้ในระยะไกล ข้อเท็จจริงที่ผู้เสียหายใช้ท่อเหล็กน้ำประปาตีทำร้ายจนจำเลยล้มลงไปกลับเจือสมทางนำสืบของจำเลยว่า เมื่อจำเลยนำเงินค่าอาหารมาชำระให้ผู้เสียหายจำเลยพูดจาโต้เถียงกับผู้เสียหาย ผู้เสียหายหยิบท่อเหล็กน้ำประปาซึ่งวางอยู่แถวบริเวณหน้าร้านเกิดเหตุขึ้นมาตีจำเลยจนจำเลยล้มลงนายจรัสกับนายบ่าววิ่งเข้าไปห้าม นายจรัสชักอาวุธปืนออกมาจากเอวและพูดว่าใครอย่าเข้ามา ให้พอกันแค่นี้ นายบ่าวกับนายจรัสยกตัวจำเลยขึ้นมา จำเลยจึงพุ่งตัวไปหาผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายวิ่งอ้อมไปทางหน้าร้านอาหาร จากนั้นจำเลยกับพวกก็พากันกลับบ้าน ดังนั้นตามที่นางเสาวนีย์พยานโจทก์เบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุผู้เสียหายและนางล้วนเอกไปบ้านพยาน ผู้เสียหายร้องเรียกพยานว่าจำเลยจะยิงนั้น จะเห็นได้ว่า ผู้เสียหายไปหานางเสาวนีย์เพียงเพื่อเล่าเหตุการณ์ให้ฟังเท่านั้น หาได้ไปขอความช่วยเหลือจากนางเสาวนีย์แต่อย่างใดไม่ขณะเกิดเหตุคดีนี้เป็นเวลา 4 นาฬิกา เป็นเวลาดึกดื่น นางเสาวนีย์มิใช่ญาติพี่น้องของผู้เสียหายไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ผู้เสียหายจะต้องไปเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้นางเสาวนีย์ฟัง การกระทำของผู้เสียหายทำให้ระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายถูกจำเลยใช้อาวุธปืนไล่ยิงจริงหรือไม่ ทั้งการที่หลังเกิดเหตุจำเลยไม่อยู่บ้านจำเลยโดยบิดาจำเลยแจ้งว่าไปทำงานที่ต่างจังหวัดดังที่ร้อยตำรวจเอกวุฒิพนธิ์ ดิ้นทองพนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความก็หาเป็นพิรุธแต่อย่างใดไม่เพราะเมื่อจำเลยทราบว่ามีการออกหมายจับจำเลย จำเลยก็เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ จำต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำเลยนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพยายามฆ่าเสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share