แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินมาแล้วได้ปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยการปลูกตึกแถวสองชั้นรวม 10 คูหา  ลงในที่ดินโฉนดหนึ่ง  ส่วนอีก 3 โฉนดเดิมเป็นแหล่งเสื่อมโทรม  โจทก์ได้ลงทุนปรับปรุงด้วยการถมดิน  ทำถนนคอนกรีต  สร้างสะพานข้ามคลองพร้อมทั้งเขื่อนสร้างอาคารพาณิชย์  82 คูหา  ตลาดสด 2 ตลาด  และแผงคอนกรีต 300 แผง  ซึ่งในการนี้โจทก์ได้ลงทุนไปนับสิบล้านบาท  โดยการนำที่ดินไปจำนองและกู้เงินจากผู้อื่นมาเกือบห้าล้านบาท  สร้างแล้วไม่นานก็ขายไป  พฤติการณ์แสดงว่าเป็นการประกอบธุรกิจการค้าหากำไร  โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้าประเภทการค้าอสังหาริมทรัพย์  แม้ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าต้องขาดทุนจากการขายเพราะมีอุปสรรคในการดำเนินการ  สมมุติว่าเป็นความจริงก็เกิดจากการดำเนินงานผิดพลาดของโจทก์เอง  และไม่มีข้อยกเว้นในประมวลรัษฎากรว่า  กรณีเช่นนี้ไม่ต้องเสียภาษีการค้า
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าทั้งหมด  และในแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้าท้ายฟ้องก็ระบุด้วยว่า  เบี้ยปรับเรียกเก็บตามมาตรา 89 (21)  อันเป็นกรณีที่โจทก์มิได้ยื่นคำขอจดทะเบียนการค้าตามมาตรา 80  เมื่อศาลเห็นว่าควรเรียกเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (2)  ซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์มิได้ยื่นแบบแสดงรายการการค้าภายในกำหนด  ศาลย่อมพิพากษาแก้ไขโดยให้จำเลยกำหนดเบี้ยปรับใหม่ตามมาตรา 89 (2)  ได้  หานอกฟ้องนอกประเด็นไม่  เพราะเท่ากับเป็นการเพิกถอนการประเมินบางส่วน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยที่ ๒  ได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าเงินเพิ่มและเบี้ยปรับ  โดยถือว่าโจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์ในทางการค้าหากำไร  ความจริงโจทก์ซื้ออสังหาริมทรัพย์มาเพื่อก่อสร้างอาคารเก็บกินค่าเช่า  แต่โจทก์ต้องขายไปด้วยความจำเป็นในราคาต่ำกว่าทุนมากมาย  ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีการค้าของจำเลยที่ ๒  และยกคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓, ๔, ๕
จำเลยทั้งห้าให้การว่าคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์  แต่ให้จำเลยกำหนดเบี้ยปรับใหม่ตามมาตรา ๘๙ (๒)  แห่งประมวลรัษฎากร
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการที่โจทก์ขายทรัพย์สินไปนั้นเป็นไปในทางการค้าหากำไร  แต่ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยกำหนดเบี้ยปรับใหม่ตามมาตรา ๘๙ (๒)  เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น  พิพากษาแก้เป็นว่าโจทก์ไม่ต้องเสียเบี้ยปรับตามาตรา ๘๙  ทั้งในข้อ (๑)  และ (๒)  แห่งประมวลรัษฎากร  ให้เพิกถอนการประเมินของจำเลยที่ ๒  และการวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓, ๔, ๕  เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับเบี้ยปรับตามมารตรา ๘๙ (๑)  นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  มีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่าการขายอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ดังกล่าวข้างต้น  เป็นทางค้าหรือหากำไรหรือไม่  ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์ซื้อที่ดินมาแล้ว  ก็ได้ปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยการปลูกตึกแถวสองชั้นรวม ๑๐ คูหา  ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๑๗  ส่วนที่ดินโฉนดที่ ๒๔๓, ๑๖๒๐  และ ๓๗๘๘  นั้น  ก็ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่าเป็นแหล่งเสื่อมโทรม  โจทก์ได้ลงทุนปรับปรุงด้วยการถมที่ดิน  ทำถนนคอนกรีตสร้างสะพานข้ามคลองบางลำภูพร้อมทั้งเขื่อน  สร้างอาคารพาณิชย์ ๘๒ คูหา  ตลาดสด ๒ ตลาด  และแผงลอยอีก ๓๐๐ แผง  ซึ่งในการนี้โจทก์ได้ลงทุนไปนับสิบล้านบาท  โดยการนำที่ดินไปจำนองและกู้เงินจากผู้อื่นมาเกือบห้าล้านบาท  สร้างแล้วไม่นานก็ขายไป  พฤติการณ์แสดงว่าเป็นการประกอบธุรกิจการค้าหากำไร  แม้ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าต้องขาดทุนจากการขายเพราะมีอุปสรรคต่าง ๆ ในการดำเนินการ  เช่น  ต้องเป็นความกับวัด  และเทศบาลนครกรุงเทพ  สมมุติว่าเป็นความจริง  ก็เกิดจากการดำเนินงานผิดพลาดของโจทก์เอง  และไม่มีข้อยกเว้นในประมวลรัษฎากรว่า  กรณีเช่นนี้ไม่ต้องเสียภาษีการค้า
ส่วนปัญหาเรื่องเบี้ยปรับที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า  โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในเรื่องนี้ว่าชอบหรือมิชอบประการใด  คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ให้งดเบี้ยปรับ  จึงนอกฟ้องนอกประเด็นและขอให้โจทก์เสียเบี้ยปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น  เห็นว่าโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าทั้งหมด  และในแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้าก็ระบุไว้ด้วยว่า  เบี้ยปรับเรียกเก็บตามมาตรา ๘๙ (๑)  อันเป็นกรณีที่โจทก์มิได้ยื่นคำขอจดทะเบียนการค้าตามมาตรา ๘๐   เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าควรเรียกเบี้ยปรับตามมาตรา ๘๙ (๒)  ซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์มิได้ยื่นแบบแสดงรายการค้าภายในกำหนด  เท่ากับเป็นการเพิกถอนการประเมินบางส่วน  ศาลชั้นต้นย่อมชอบที่จะพิพากษาแก้ไขได้
พิพากษาแก้ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

