คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1115/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยซื้อที่ดินซึ่งติดจำนองมาจากการขายทอดตลาดในคดีอื่นของศาลชั้นต้น โดยโจทก์และจำเลยมิได้เป็นคู่ความในคดีนั้น โจทก์ผู้ทรงสิทธิจำนองย่อมมีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ตัวที่ดินนั้นได้ แต่มิได้ทำให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นผู้จำนอง ฐานะของจำเลยเป็นเพียงผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนอง อันมีสิทธิและหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. ลักษณะ 12 หมวด 5 มิใช่ว่าเมื่อจำเลยซื้อที่ดินซึ่งติดจำนองมาแล้วโจทก์จะอาศัยสิทธิความเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ติดตามบังคับคดีแก่ที่ดินนั้นได้ทันที เมื่อโจทก์และจำเลยมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว ประเด็นแห่งคดีก็เป็นคนละอย่างกัน โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์และบังคับจำนองแก่ที่ดินดังกล่าว จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมนายสุรพล นิงสานนท์ กู้เงินและจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์แล้วผิดนัดชำระหนี้ โจทก์จึงฟ้องนายสุรพลให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญาจำนอง ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2535 ให้นายสุรพลชำระเงิน 3,425,627.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 2,711,528.30 บาท นับแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 44274 และ 44276 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของนายสุรพลออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ ตามคดีหมายเลขแดงที่ 20768/2535 ของศาลชั้นต้น นายสุรพลไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดี แต่ปรากฏว่าทรัพย์จำนองดังกล่าวถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 10818/2535 ของศาลชั้นต้น ซึ่งบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มหานครทรัสต์ จำกัด เป็นโจทก์ฟ้องนายสุรพล และต่อมาเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2537 จำเลยในคดีนี้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดในคดีดังกล่าวได้โดยติดจำนอง โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยในฐานะผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองชำระหนี้เพื่อไถ่ถอนจำนองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยนับถึงวันฟ้องมียอดหนี้จำนองซึ่งเป็นต้นเงินดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมประกันภัยรวมเป็นเงิน 9,201,820.40 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 9,201,820.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.50 ต่อปี ของต้นเงิน 2,711,528.30 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์จำนองดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า จำเลยมิใช่ผู้กู้เงินหรือผู้จำนอง และไม่มีนิติสัมพันธ์กับนายสุรพล โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิด คำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 20768/2535 ของศาลชั้นต้นไม่ผูกพันจำเลย เพราะจำเลยเป็นบุคคลนอกคดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว ต่อมาในวันนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้ว เห็นว่า จำเลยเป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยติดจำนองจึงเป็นผู้สืบสิทธิจากนายสุรพลผู้จำนองในคดีเดิม และย่อมรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ โจทก์สามารถบังคับคดีได้ในคดีเดิม การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งรับฟ้อง ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า เดิมโจทก์ฟ้องนายสุรพลต่อศาลชั้นต้น ขอให้บังคับชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญาจำนอง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายสุรพลชำระหนี้ มิฉะนั้นให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ตามคดีหมายเลขแดงที่ 20768/2535 แต่โจทก์ไม่สามารถนำยึดทรัพย์จำนองเพื่อบังคับคดีได้ เนื่องจากทรัพย์จำนองถูกยึดไว้ก่อนแล้วในคดีหมายเลขแดงที่ 10818/2535 ของศาลชั้นต้นซึ่งนายสุรพลถูกเจ้าหนี้อื่นฟ้อง และจำเลยเป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดในคดีดังกล่าวได้โดยติดจำนอง โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ในฐานะที่จำเลยเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนอง ซึ่งศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้ออ้างของโจทก์ตามฟ้องเป็นเรื่องที่จำเลยสืบสิทธิมาจากนายสุรพลผู้จำนองในคดีเดิม โจทก์จึงชอบที่จะบังคับคดีได้ในคดีเดิมและไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่เพราะถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 20768/2535 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยซื้อทรัพย์สินซึ่งติดจำนองมาจากการขายทอดตลาดในคดีหมายเลขแดงที่ 10818/2535 ของศาลชั้นต้น โจทก์ผู้ทรงสิทธิจำนองย่อมมีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์นั้นได้ แต่หาได้ทำให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นผู้จำนองแต่อย่างใดไม่ ฐานะของจำเลยเป็นเพียงผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองอันมีสิทธิและหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 12 หมวด 5 กล่าวโดยสรุปคือ จำเลยมีสิทธิไถ่ถอนจำนองโดยเสนอรับใช้เงินเป็นจำนวนอันสมควรกับราคาทรัพย์สินนั้น ซึ่งหากโจทก์ไม่ยอมรับ โจทก์ต้องฟ้องคดีต่อศาลภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันมีคำเสนอ เพื่อให้ศาลพิพากษาสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนอง ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติในมาตรา 738 และ 739 และถ้าจำเลยมิได้ใช้สิทธิเสนอไถ่ถอนจำนองดังกล่าวหากโจทก์จะบังคับจำนอง ก็ต้องมีจดหมายบอกล่าวแก่จำเลยล่วงหน้าหนึ่งเดือนก่อนแล้วจึงจะบังคับจำนองได้ ตามมาตรา 735 ซึ่งบัญญัติไว้ในลักษณะ 12 หมวด 4 มิใช่ว่าเมื่อจำเลยซื้อทรัพย์สินซึ่งติดจำนองมาแล้วโจทก์จะอาศัยสิทธิความเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 20768/2535 ติดตามบังคับคดีแก่ทรัพย์สินนั้นได้ทันที จำเลยมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวประเด็นแห่งคดีก็เป็นคนละอย่างกัน กรณีหาใช่เรื่องสืบสิทธิที่จะถือว่าเป็นเรื่องที่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 20768/2535 ของศาลชั้นต้น ไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาและพิพากษาต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา.

Share