คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8309/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยยินยอมชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง เป็นการประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดี เมื่อปรากฏว่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องที่คู่ความตกลงกัน ไม่เกินกว่าอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิคิดจากจำเลยได้ตามประกาศกระทรวงการคลังและสัญญากู้เงิน สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงมิได้เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายศาลชั้นต้นย่อมต้องพิพากษาไปตามนั้น จะใช้ดุลพินิจพิพากษาลดอัตราดอกเบี้ยที่คู่ความตกลงกันเพราะเหตุที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินส่วนย่อมมิได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าจำเลยทั้งสองยินยอมชำระเงินจำนวน2,644,228 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน2,098,925.23 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งสองตกลงชำระเงินแก่โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 33,000 บาท เริ่มชำระงวดแรกภายในวันที่ 16 กรกฎาคม 2543 และงวดต่อไปทุกวันที่ 16 ของเดือน จนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสองยินยอมชำระเงินค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่ส่งคืนและค่าทนายความแทนโจทก์จำนวน 6,000 บาท หากจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งหรือผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยินยอมให้โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์จำนองที่โฉนดเลขที่ 2812, 2813 ตำบลพยอม อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

ศาลชั้นต้นพิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแล้วเห็นว่า ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น คืนค่าขึ้นศาลให้แก่โจทก์เป็นกรณีพิเศษ 59,500 บาท แต่ดอกเบี้ยที่โจทก์คิดอัตราร้อยละ 19 ต่อปีนั้น เป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับสภาวะเศรษฐกิจการเงินในปัจจุบันประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอื่นคิดจากผู้กู้ยืมหรือให้ดอกเบี้ยแก่ผู้มีเงินฝากในอัตราต่ำมาก เห็นสมควรให้คิดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เท่านั้น

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิพากษาลดอัตราดอกเบี้ยที่คู่ความตกลงกันในสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า”ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องนั้น และข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความนั้น ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ให้ศาลจดรายงานพิศดารแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความเหล่านั้นไว้ แล้วพิพากษาไปตามนั้น” ดังนี้ การที่จำเลยทั้งสองยินยอมชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้องย่อมเป็นการประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดี เมื่อปรากฏว่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องที่คู่ความตกลงกันไม่เกินกว่าอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิคิดจากจำเลยทั้งสองได้ตามประกาศกระทรวงการคลังและสัญญากู้สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงมิได้เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ศาลชั้นต้นย่อมต้องพิพากษาไปตามนั้น จะใช้ดุลพินิจพิพากษาลดอัตราดอกเบี้ยที่คู่ความตกลงกันเพราะเหตุที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินส่วนย่อมมิได้ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนั้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share