แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่าที่ดินทั้งแปลงเป็นของโจทก์ แต่โจทก์และจำเลยต่างเข้าใจว่าที่ดินที่จำเลยปลูกสร้างบ้านเป็นของจำเลยที่ได้รับการยกให้มาซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับที่ดินโจทก์ เท่ากับว่าจำเลยสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตซึ่งต้องบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 1310 จึงให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา จำเลยไม่ฎีกา จึงต้องฟังข้อเท็จจริงดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามาจำเลยจะยื่นคำแก้ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยครอบครองที่ดินจนได้กรรมสิทธิ์แล้วหาได้ไม่ หากจำเลยไม่เห็นพ้องด้วย จำเลยจะต้องฎีกาคัดค้านขึ้นมา
การพิจารณาว่าบุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตหรือไม่ จะต้องพิจารณาในขณะที่ปลูกสร้างโรงเรือน หากขณะปลูกสร้างโรงเรือนไม่ทราบว่าที่ดินเป็นของบุคคลอื่นก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริต แม้ภายหลังจึงทราบว่าเป็นที่ดินของบุคคลอื่น ก็ไม่ทำให้การกระทำที่สุจริตแต่แรกกลับกลายเป็นไม่สุจริต
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 10142 โดยซื้อมาจากนายแจ่มและนางไกล จำเลยเป็นภริยาของนายสมบูรณ์บุตรของนายแจ่มและนางไกล หลังจากซื้อที่ดินดังกล่าวโจทก์ทั้งสองอนุญาตให้นายแจ่มและนางไกลครอบครองที่ดินและทำนาบนที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ต่อมานายแจ่มและนางไกลถึงแก่ความตาย นายสมบูรณ์สามีจำเลยครอบครองดูแลและทำนาในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง นายสมบูรณ์และจำเลยปลูกเรือนโดยโจทก์ทั้งสองและนายสมบูรณ์ต่างเข้าใจว่านายสมบูรณ์ปลูกเรือนบนที่ดินของนายสมบูรณ์ แต่ภายหลังเมื่อมีการตรวจสอบแนวเขตที่ดินจึงทราบว่านายสมบูรณ์ปลูกเรือนลงบนที่ดินของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองเสนอให้จำเลยกับนายสมบูรณ์เช่าที่ดินให้ถูกต้อง หรือซื้อที่ดินของโจทก์ทั้งสอง หรือขายเรือนให้แก่โจทก์ทั้งสอง แต่นายสมบูรณ์กับจำเลยไม่ตกลง ต่อมานายสมบูรณ์ได้ถึงแก่ความตาย การที่จำเลยยังอยู่บนที่ดินของโจทก์ทั้งสองทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายเดือนละ 1,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินและรื้อถอนเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองภายใน 30 วัน นับแต่ศาลมีคำพิพากษา กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า นายสมบูรณ์และจำเลยร่วมกันปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินซึ่งได้รับการยกให้จากบิดาของนายสมบูรณ์ และอยู่อาศัยในบ้านและที่ดินดังกล่าวโดยสุจริตด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยความสงบและเปิดเผยเป็นเวลาติดต่อกันกว่า 30 ปี จนถึงปัจจุบัน โจทก์ทั้งสองไม่เคยโต้แย้งคัดค้าน ที่ดินที่ปลูกบ้านข้างต้นจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสมบูรณ์และจำเลย นายสมบูรณ์และจำเลยกั้นอาณาเขตเป็นสัดส่วนแยกต่างหากจากที่ดินส่วนอื่นมาเป็นเวลากว่า 30 ปี โดยโจทก์ทั้งสองไม่เคยคัดค้าน บิดาของนายสมบูรณ์ยกที่ดินดังกล่าวให้นายสมบูรณ์เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย มิได้ขายหรือมอบการครอบครองให้แก่โจทก์ทั้งสอง แม้หากจะฟังว่าที่ดินเป็นของโจทก์ทั้งสอง จำเลยก็ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย เนื่องจากการครอบครองที่ดินของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทพร้อมกับรื้อถอนเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าว กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 ตุลา 2544) ไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดิน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง แต่ไม่ตัดสิทธิคู่ความที่จะไปว่ากล่าวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมนายแจ่มและนางไกลเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 10142 ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ 2 งาน 51.2 ตารางวา ต่อมาวันที่ 5 มีนาคม 2517 บุคคลทั้งสองจดทะเบียนโอนขายให้แก่โจทก์ทั้งสอง นายสมบูรณ์บุตรของนายแจ่มและนางไกลร่วมกับจำเลยซึ่งเป็นภริยาเข้าครอบครองและปลูกสร้างบ้านเลขที่ 29 หมู่ที่ 14 บนที่ดินดังกล่าวคิดเป็นเนื้อที่ 1 งาน 66 ตารางวา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงเป็นของโจทก์ทั้งสอง แต่โจทก์ทั้งสองและจำเลยต่างเข้าใจว่าที่ดินที่จำเลยปลูกสร้างบ้านเป็นที่ดินของจำเลยที่ได้รับการยกให้มาจากนายแจ่มและนางไกล ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับที่ดินโจทก์ทั้งสอง เท่ากับว่าจำเลยสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 จำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาดังกล่าว จึงต้องฟังข้อเท็จจริงดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามา จำเลยจะยื่นคำแก้ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยครอบครองที่ดินจนได้กรรมสิทธิ์แล้วหาได้ไม่ หากจำเลยไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าวจำเลยจะต้องฎีกาคัดค้านขึ้นมา หาใช่ทำเป็นคำแก้ฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ว่าการสร้างโรงเรือนของจำเลยและนายสมบูรณ์เป็นการสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตเป็นการวินิจฉัยที่ถูกต้องและชอบแล้ว แต่การที่หลังจากตรวจสอบแนวเขตที่ดินรู้ว่าจำเลยและนายสมบูรณ์สร้างโรงเรือนในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองหาทางออกโดยให้จำเลยและนายสมบูรณ์ทำสัญญาเช่า หรือซื้อที่ดินของโจทก์ทั้งสองหรือขายโรงเรือนให้โจทก์ทั้งสอง แต่จำเลยและนายสมบูรณ์ไม่ตกลงต้องถือว่าจำเลยและนายสมบูรณ์อยู่ในที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยไม่ชอบและไม่ยอมออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 นั้น เห็นว่า การพิจารณาว่าบุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาในขณะที่ปลูกสร้างโรงเรือน หากขณะปลูกสร้างโรงเรือนไม่ทราบว่าที่ดินเป็นของบุคคลอื่นก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริต แม้ภายหลังจึงทราบว่าเป็นที่ดินของบุคคลอื่น ก็หากระทำที่สุจริตแต่แรกกลับกลายเป็นไม่สุจริตไปแต่อย่างใด แม้จะได้ความตามที่โจทก์ทั้งสองฎีกาก็ตาม เมื่อกรณีเข้าเงื่อนไขตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแล้ว จะต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยทำให้ที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีค่าเพิ่มขึ้นเพียงใด โจทก์ทั้งสองประมาทเลินเล่อหรือไม่ ซึ่งมิได้มีประเด็นในคดีนี้ คู่ความจึงมิได้สืบพยานไว้ จึงไม่สามารถวินิจฉัยได้ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้อง โดยให้โจทก์ทั้งสองกับจำเลยไปว่ากล่าวกันใหม่นั้น จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ