แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 78/2 ไม่ได้ให้สิทธิแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในกรณีนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าเป็นการเฉพาะ ความรับผิดของโจทก์สำหรับสินค้าเครื่องจักรที่ไม่ได้รับอนุมัติให้ยกเว้นภาษีอากรจึงมีฐานะเช่นเดียวกับผู้นำเข้าที่วางหลักประกันอากรขาเข้าอื่น กล่าวคือ ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนนี้เกิดขึ้นเมื่อโจทก์วางหลักประกันอากรขาเข้า แม้โจทก์จะนำเงินไปชำระค่าภาษีอากรภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่ได้รับแจ้งการประเมินก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ชำระค่าภาษีอากรครบถ้วนในกำหนดเวลาตามมาตรา 78/2 โจทก์จึงต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับตาม ป.รัษฎากร มาตรา 89 (3) และรับผิดชำระเงินเพิ่มตาม ป.รัษฎากร มาตรา 89/1
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหรือแก้ไขการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษีกันยายน 2550 ตามแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้า/ขาออกภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม (กรณีวางประกัน) เลขที่ กค. 0509(21)/1-3-02021 ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2551 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เลขที่ สภ 5 ชบ 2/95/2552 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2551 ให้จำเลยคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จำเลยประเมินเพิ่มจำนวน 82,902.21 บาท เบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม 996,220 บาท และเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม 179,319.60 บาท รวมเป็นเงิน 1,258,441.81 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่ได้โต้แย้งกันว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบการผลิตเอทานอล (แอลกอฮอล์ 99.5%) ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 สำหรับประเภท 1.26 กิจการผลิตแอลกอฮอล์หรือเชื้อเพลิงจากผลิตผลการเกษตร รวมทั้งเศษหรือขยะหรือของเสีย เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2550 โจทก์นำเข้าสินค้าตามใบขนเลขที่ 2801-0105010577 สำแดงส่วนของเครื่องจักรใช้ในการกลั่นเพื่อผลิตแอลกอฮอล์ครบชุดสมบูรณ์จำนวน 34 รายการ จากประเทศอินเดีย โดยขอใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 ขณะนั้นสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนยังไม่ได้อนุมัติการยกเว้นอากรให้โจทก์ และมีหนังสือเรื่อง การขอผ่อนผันใช้ธนาคารค้ำประกันแทนการชำระอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเครื่องจักรของโจทก์มายังสำนักงานศุลกากร โจทก์จึงใช้หนังสือค้ำประกันธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ ค. 01370010648000 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2550 แทนการชำระอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อนำของออกก่อนในระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ต่อมาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาอนุมัติให้ยกเว้นอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าที่โจทก์นำเข้าจำนวน 27 รายการ ส่วนรายการที่เหลือคือ SS PIPES, POWER CABLE COPPER และ CABLE TRAYS AND ACCESSORIES ไม่ได้รับอนุมัติและให้ชำระภาษีอากร จำเลยจึงออกแบบแจ้งการประเมินอากรเพื่อเรียกเก็บอากรสำหรับรายการที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไม่อนุมัติ ซึ่งโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินอากรขาเข้า/ขาออก/ภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม (กรณีวางประกัน) ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ให้ชำระอากรขาเข้า 1,184,306 บาท เงินเพิ่มอากรขาเข้า 142,116.72 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 996,220 บาท เบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม 996,220 บาท และเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม 179,319.60 บาท รวมเป็นเงิน 3,498,182.32 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงยื่นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนภาษีกันยายน 2550 ขอให้ยกเลิกการประเมินและงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม โจทก์ชำระเงินตามการประเมินแล้ว ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการประเมินของเจ้าพนักงานเป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนปฏิบัติของกรมศุลกากรแล้ว ให้ยกอุทธรณ์ในประเด็นขอให้ยกเลิกการประเมิน ส่วนประเด็นงดหรือลดเบี้ยปรับกรณีโจทก์มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากร ให้ลดเบี้ยปรับคงเหลือเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย ประเด็นงดหรือลดเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร เจ้าพนักงานมิได้ประเมินเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี จึงไม่มีกรณีต้องพิจารณา ส่วนเงินเพิ่มตามการประเมินเป็นเงินเพิ่มตามมาตรา 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้แน่นอนไม่มีข้อยกเว้นให้งดหรือลดได้ แต่โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงฟ้องเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มและมีเหตุที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้มากกว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า มาตรา 78/2 แห่งประมวลรัษฎากร ที่บัญญัติว่า ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการนำเข้า ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ (1) การนำเข้านอกจากที่อยู่ในบังคับตาม (2) (3) หรือ (4) ให้ความรับผิดเกิดขึ้นเมื่อชำระอากรขาเข้า วางหลักประกันอากรขาเข้า หรือจัดให้มีผู้ค้ำประกันอากรขาเข้า เว้นแต่กรณีที่ไม่ต้องเสียอากรขาเข้า หรือได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ก็ให้ถือว่าความรับผิดเกิดขึ้นในวันที่มีการออกใบขนสินค้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรนั้น มิได้มีการบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้ประกอบการที่วางหลักประกันโดยได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไว้เป็นการเฉพาะ ดังนั้น ความรับผิดของโจทก์สำหรับสินค้านำเข้าพิพาทจึงเกิดขึ้นเมื่อโจทก์วางหลักประกันอากรขาเข้าคือในวันที่ 24 ตุลาคม 2550 แต่โจทก์ได้มาชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2551 ซึ่งแม้จะอยู่ภายในกำหนดเวลาตามหนังสือแจ้งการประเมินอากรก็ตาม ก็ไม่อาจถือว่าโจทก์ได้ชำระภาษีอากรครบถ้วนภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 78/2 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (3) แห่งประมวลรัษฎากร กรณียื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือแบบนำส่งภาษีไว้ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาดอันเป็นเหตุให้จำนวนภาษีที่ต้องนำส่งในเดือนภาษีคลาดเคลื่อนไป และรับผิดชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระหรือนำส่งโดยไม่รวมเบี้ยปรับตามมาตรา 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร กรณีไม่ชำระภาษีหรือนำส่งภาษีให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลา อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ